UN HEADER 23
UN HEADER 23
Home Articles BLANCPAIN FIFTY FATHOMS DAY DATE DESERT EDITION - สีของทะเลทราย

BLANCPAIN FIFTY FATHOMS DAY DATE DESERT EDITION – สีของทะเลทราย

by: ‘Mr.Big’

 

หลังจากที่ Blancpain (บลองแปง) เปิดตัวสีใหม่ให้กับไลน์คอลเลกชั่น Fifty Fathoms Bathyscaphe (ฟิฟตี ฟาธอมส์ บาธีสเคป) ด้วยสีเขียวในโทนที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสีของแม่น้ำและทะเลสาบ ล่าสุดก็เปิดตัวหน้าปัดใหม่อีกสีออกมาคู่กัน ในรูปโฉมที่ดูคอนทราสต์ซึ่งกันและกัน นั่นคือ Fifty Fathoms Bathyscaphe Day Date Desert Edition (ฟิฟตี ฟาธอมส์ บาธีสเคป เดย์ เดท เดเสิร์ท เอดิชั่น) นาฬิกาดำน้ำสำหรับมือโปรในสีสันใหม่ที่เลือกใช้สีสันของทะเลทรายในหุบเขามรณะ

MITSUBISHI

 

Fifty Fathoms Bathyscaphe Day Date Desert Edition เรือนนี้สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แรงบันดาลใจจากนาฬิกาดำน้ำของ Blancpain ที่ผลิตขึ้นในปี 1970 โดดเด่นด้วยหน้าปัดสีน้ำตาลทองของทะเลทราย ที่เล่นมิติด้วยการไล่ระดับความสว่าง พร้อมปัดลายแบบรัศมีสุริยะ สร้างเอฟเฟกต์ที่ชวนให้นึกถึงความกว้างใหญ่อันงดงามของทะเลทราย โดยเฉพาะทิวทัศน์ของหุบเขามรณะหรือ ‘Death Valley National Park’ (เดธ วัลเลย์ เนชั่นแนล พาร์ค) ที่มีชื่อเสียงในเนวาด้า สหรัฐอเมริกา ซึ่งใน พ.ศ. 2505 นั้น Ernest H. Brooks II (เออร์เนสต์ เอช บรูคส์ ที่ 2) ผู้บุกเบิกการถ่ายภาพใต้น้ำที่เข้าร่วมถ่ายภาพเพื่อจัดทำ ‘Fifty Fathoms Annual’ (ฟิฟตี ฟาธอมส์ แอนนวล) ของ Blancpain ได้ลงไปสำรวจยังหลุมแอ่งน้ำ ‘Devils Hole’ (ดีวิลส์ โฮล) ที่เกิดจากรอยแยกของแผ่นดินไหว กลายเป็นแอ่งน้ำใต้หุบเหวที่มีความลึกดกว่า 120 เมตร ท่ามกลางความแห้งแล้งของทะเลทราย ‘Death Valley’ และยังเป็นที่อยู่ของปลา ‘Devils Hole’s Pupfish’ (ดีวิลส์ โฮล พัพฟิช) ซึ่งเป็นหนึ่งในปลาที่หายากที่สุดในโลก

Death Valley National Park

 

ด้านการดีไซน์ภายในยังคงเป็นการนำรูปแบบในช่วงทศวรรษ 1970s มาปรับใช้ โดยที่สเกลด้านนอกติดตั้งตัวเลขบอกเวลาหน่วยละ 5 นาที ควบคู่ไปกับมาร์คเกอร์แบบแท่งซึ่งอยู่ด้านใน พร้อมการบอกเวลาแบบ 3 เข็มด้วยเข็มชั่วโมง-นาทีทรงเหลี่ยมตามเอกลักษณ์ของนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกๆ เคลือบสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova®’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) และเจาะช่องหน้าต่างคู่แสดงวันและวันที่ ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ควบคุมการทำงานด้วยกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) ออโตเมติก Cal.1315DD ซึ่งประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนจำนวน 281 ชิ้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 34.75 มิลลิเมตร หนา 6.6 มิลลิเมตร ติดตั้งทับทิมกันสึก 37 เม็ด เสริมด้วยสายใยจักรกลอกซิลิกอน อัตราความถี่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง และสามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 120 ชั่วโมง หรือ 5 วันเลยทีเดียว

 

ทั้งหมดนี้ได้รับการบรรจุอยู่ในตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 43.0 มิลลิเมตร หนา 14.25 มิลลิเมตร สามารถกันน้ำได้ 300 เมตร ติดตั้งขอบตัวเรือนแบบหมุนทิศทางเดียว ผลิตจากเซรามิกสีน้ำตาล ตกแต่งด้วยสเกล 60 นาที ซึ่งเป็นการรังสรรค์ด้วยเทคนิค ‘LiquidMetal®’ (ลิควิดเมทัล) เพื่อเพิ่มเอฟเฟกต์เมื่ออยู่ใต้น้ำ ส่วนฝาหลังกรุด้วยแผ่นคริสตัลแซพไฟร์ เพื่อให้สามารถมองเห็นกลไกที่อยู่ภายใน จับคู่กับสายผ้าใบสีน้ำตาลที่สื่อถึงทะเลทราย ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือน โดยระบุราคาไว้ที่ 11,900 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 400,000 บาท

SEIKO JUNE 23 CONTENT RGT
Luxe Time Pop Up