by: ‘TomyTom’
เมื่อฤดูร้อนของฟากฝั่งยุโรปมาถึง แบรนด์นาฬิกาที่อีกปีกหนึ่งเป็นผู้นำในวงการเครื่องประดับระดับโลกอย่าง Bvlgari (บุลการี) ก็ออกนาฬิกาสปอร์ตตระกูลดัง Aluminium Watch (อะลูมิเนียม วอทช์) เอดิชั่นใหม่สำหรับปี 2023 มาให้เชยชมเพิ่มเติมกันถึง 5 แบบ ด้วยกัน โดยมีทั้งแบบที่ออกมาร่วมคอลเลกชั่นปกติ และแบบ ‘Limited Edition’ (ลิมิเต็ด เอดิชั่น) ที่ผลิตในจำนวนจำกัด
ที่มาของ Bvlgari Aluminum Watch เริ่มขึ้นในปี 1998 โดยเป็นการคิดใหม่ทำใหม่ด้วยการสร้างนาฬิกาสปอร์ตน้ำหนักเบาด้วยตัวเรือนอะลูมิเนียม จับคู่กับสายยางที่ออกแบบขึ้นมาสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ และหลังจากเลิกผลิตไประยะหนึ่ง ทางแบรนด์ก็นำกลับมาผลิตจำหน่ายอีกครั้งตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา โดยออกแบบสร้างขึ้นใหม่ด้วยเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน
5 แบบใหม่ของปี 2023 นี้ประกอบด้วย รุ่นโครโนกราฟคอลเลกชั่นปกติในแบบหน้าปัดสีขาวสลับวงหน้าปัดย่อยสีดำในสไตล์ ‘Panda’ (แพนด้า) และแบบหน้าปัดสีดำล้วน ทั้งคู่มากับขอบตัวเรือนยางสีดำ และสายยางสีดำพร้อมชิ้นพับและตัวล็อกหัวเข็มขัดอะลูมิเนียม ต่อด้วยแบบ ‘Limited Edition’ ที่มีรุ่นบอกเวลา 3 เข็ม พร้อมวันที่ และรุ่นโครโนกราฟที่ใช้หน้าปัดโทนสีน้ำเงินแบบไล่เฉด คู่กับขอบตัวเรือนยางสีน้ำเงิน และสายยางสีน้ำเงินพร้อมชิ้นพับและตัวล็อกหัวเข็มขัดอะลูมิเนียม ที่ได้แรงบันดาลใจแห่งสีสันมาจากเกาะคาปรีของอิตาลี ปิดท้ายด้วยรุ่น ‘Limited Edition’ แบบบอกเวลา 3 เข็ม พร้อมวันที่ หน้าปัดสีขาว ที่นอกจากจะมากับขอบตัวเรือนยางสีเขียวแก่ และสายยางสีเขียวแก่พร้อมชิ้นพับอะลูมิเนียมแล้ว ยังจัดตำแหน่งเม็ดมะยมให้อยู่ทางฝั่งซ้ายของตัวเรือนอีกด้วย ซึ่งทาง Bvlgari บอกว่าเป็นการสร้างขึ้นสำหรับวงการเทนนิสโดยเฉพาะ โดยทุกรุ่นยังคงใช้เม็ดมะยม ฝาหลังแบบแผ่นทึบ รวมถึงปุ่มกดในรุ่นโครโนกราฟเป็นไทเทเนียมเคลือบสีดำด้วยเทคนิค DLC และสามารถกันน้ำได้ถึง 100 เมตร เช่นเดิม
สำหรับรุ่นโครโนกราฟหน้าปัดสีขาวสลับวงหน้าปัดย่อยสีดำ และหน้าปัดสีดำล้วนนั้น หากเว้นรุ่นหน้าปัดสีดำล้วนที่เพิ่งมีออกมาให้เลือกในหนนี้ไว้ก่อนแล้ว อาจมีคำถามว่ารุ่นหน้าปัดสไตล์ ‘Panda’ ที่ออกมาใหม่นั้นแตกต่างจากแบบที่มีจำหน่ายอยู่แล้วอย่างไร คำตอบก็คือ ตัวเรือนที่ทำจากอะลูมิเนียมอัลลอยสำหรับรุ่นโครโนกราฟปี 2023 ทั้ง 2 แบบ ถูกขยายขนาดขึ้นอีก 1.0 มิลลิเมตร เป็น 41.0 มิลลิเมตร และใช้กลไกอัตโนมัติโครโนกราฟจับเวลาได้ 12 ชั่วโมง พร้อมฟังก์ชันวันที่ พลังงานสำรอง 42 ชั่วโมง Cal.B381 ซึ่งตำแหน่งการบอกค่าต่างๆ ยังคงเหมือนกับ Cal.B130 ที่ใช้กับรุ่นโครโนกราฟที่มีจำหน่ายอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นรหัสใดก็มีพื้นฐานมาจากกลไกของ ETA เช่นเดียวกัน
หน้าปัดของรุ่น ‘Limited Edition’ ที่เรียกว่า ‘Capri Edition’ (คาปรี เอดิชั่น) นั้นทรงเสน่ห์ชวนมองด้วยการไล่เฉดจากสีฟ้าอ่อนที่ด้านบน ค่อยๆ เข้มสู่สีน้ำเงินทางด้านล่าง โดยมีหลักชั่วโมงกับเข็มชั่วโมงและนาทีเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งในรุ่นโครโนกราฟจะใช้พื้นหน้าปัดย่อยสีดำ และแต่งสีเหลืองอ่อนบนเข็มวินาทีและเข็มขนาดเล็ก แต่ตัวเรือนที่ใช้ยังคงเป็นขนาด 40.0 มิลลิเมตร มิได้ขยับขนาดขึ้นมาแต่อย่างใด ดังนั้นกลไกที่ใช้กับรุ่น 3 เข็ม พร้อมวันที่ จึงเป็น Cal.B77 กลไกอัตโนมัติ พลังงานสำรอง 42 ชั่วโมง ส่วนรุ่นโครโนกราฟจับเวลาได้ 12 ชั่วโมง ก็เป็น Cal.B130 กลไกอัตโนมัติโครโนกราฟ จับเวลาได้ 12 ชั่วโมง พร้อมฟังก์ชันวันที่ พลังงานสำรอง 42 ชั่วโมง ซึ่งเป็น 2 คาลิเบรอที่มีพื้นฐานมาจากกลไก ETA เหมือนเช่นรุ่นที่มีจำหน่ายอยู่ก่อน การผลิตถูกกำหนดจำนวนไว้ที่รุ่นละ 1,000 เรือน ฝาหลังเพิ่มความพิเศษด้วยการสลักแต่งเป็นภาพโขดหิน ‘Faraglioni’ (ฟารากลิโอนี) อันโด่งดัง ซึ่งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนน้ำรอบชายฝั่งของเกาะคาปรี กำกับด้วยข้อความ ‘Limited Edition’
ส่วนรุ่น ‘Limited Edition’ สีเขียวที่เรียกว่า ‘Match Point Edition’ (แมตช์ พอยต์ เอดิชั่น) นั้นมากับตัวเรือนขนาด 40.0 มิลลิเมตร ที่เท่ด้วยการวางตำแหน่งเม็ดมะยมไว้ที่ฝั่งซ้ายของตัวเรือน ผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนร่วมตระกูลทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อจงใจให้ใช้สวมใส่ในขณะเล่นเทนนิส แถมยังเปลี่ยนตัวล็อกสายมาเป็นแบบแถบ ‘Velcro’ (เวลโคร) ในส่วนของหน้าปัดซึ่งใช้เป็นสีขาวนั้น จะมากับหลักชั่วโมงและเข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีรวมไปถึงสเกลและข้อความที่เป็นสีเขียวแก่เข้ากับสีของยางขอบตัวเรือนและสาย และมีการแต้มแต่งเข็มวินาทีด้วยสีเขียวตองที่ชวนให้นึกถึงสีของลูกเทนนิส นอกจากนี้สารเรืองแสงตามตำแหน่งหลักชั่วโมงและบนเข็มชั่วโมงกับนาทียังใช้เป็นสีเขียวอ่อนๆ อีกต่างหาก และน่าสังเกตอีกอย่างว่า ตำแหน่งช่องหน้าต่างวันที่ยังคงจัดตำแหน่งไว้ ณ 3 นาฬิกา เหมือนรุ่นอื่นๆ ขณะที่บนแผ่นฝาหลังถูกสลักภาพลูกเทนนิสเอาไว้ กำกับด้วยข้อความ ‘Limited Edition’ สำหรับกลไกยังคงเป็น Cal.B77 เช่นรุ่น 3 เข็ม เอดิชั่นอื่นๆ จำนวนการผลิตกำหนดไว้ที่ 800 เรือน
รุ่นโครโนกราฟตัวเรือนขนาดใหม่ 41.0 มิลลิเมตร ทั้ง 2 แบบหน้าปัด ตั้งราคาไว้ที่ 4,640 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 158,000 บาท โดยรุ่นหน้าปัดสีดำจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 ขณะที่รุ่นหน้าปัดสีขาวสลับวงหน้าปัดย่อยดำจะเริ่มจำหน่ายในเดือนกันยายน 2023 ส่วนรุ่น ‘Capri Edition’ 3 เข็ม และโครโนกราฟ ซึ่งผลิตรุ่นละ 1,000 เรือน จะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคม 2023 ด้วยราคา 3,330 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 113,000 บาท กับ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 163,000 บาทตามลำดับ ในขณะที่รุ่น ‘Match Point Edition’ จะเริ่มจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม 2023 ด้วยสนนราคาเท่ากับรุ่น ‘Capri Edition’ 3 เข็ม