UN HEADER 23
UN HEADER 23
Home Articles GRAND SEIKO ELEGANCE HAND-WOUND SBGW305 - พาสายเมล็ดข้าวสู่ตลาดสากล

GRAND SEIKO ELEGANCE HAND-WOUND SBGW305 – พาสายเมล็ดข้าวสู่ตลาดสากล

by: ‘TomyTom

 

นาฬิกาแนวเดรสเรียบหรูแสนสุภาพจากคอลเลกชั่น Elegance (เอเลแกนซ์) ของ Grand Seiko (แกรนด์ ไซโก) จัดเป็นเรือนเวลาแสนงามสง่าที่ชนทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันในคุณค่า คุณลักษณะ และคุณประโยชน์ ที่อัดแน่นจนเต็มเรือนร่างตั้งแต่ตัวเรือน สาย จนจรดตัวล็อก และรุ่น Elegance Hand-wound (เอเลแกนซ์ แฮนด์วูนด์) รหัส SBGW305 ที่เพิ่งเผยโฉมออกมาใหม่นี้ ก็นำสิ่งที่นาฬิกาชนในสากลโลกใฝ่หา อันได้แก่ สายนาฬิกาแบบ ‘Beads-of-rice’ (บีดส์ออฟไรซ์) หรือในภาษาไทยเรียกกันว่า ‘สายแบบเมล็ดข้าว’ มาใช้กับรุ่นที่ออกจำหน่ายทั่วโลก จากเดิมที่เคยสงวนไว้สำหรับเรือนรหัส SBGW235 ซึ่งเป็นรุ่น ‘JDM’ (เจดีเอ็ม) ผลิตจำหน่ายเฉพาะตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น

MITSUBISHI

 

SBGW305 มิใช่การนำรุ่น SBGW235 มาจำหน่ายในตลาดทั่วโลก เพราะมิได้มากับหน้าปัดสีครีมอ่อนๆ อย่างที่ SBGW235 เป็น แต่เป็นการจับคู่สีและการตกแต่งใหม่ ด้วยการใช้หน้าปัดสีเงินผิวปัดลาย ‘Sunray’ (ซันเรย์) เหมือนกับรุ่น SBGW237 ใช้หลักชั่วโมงแบบตัดเจียรหลายเหลี่ยมเบิ้ลคู่ที่หลัก 12, 3, 6 และ 9 นาฬิกา และเข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีทรงดาบคมมีสันกลาง และเข็มวินาทีทรงเรียวละมุนแต่คมชัดตลอดจนตรา ‘GS’ (จีเอส) สีเงินล้วนขัดผิวเงางามและมีสเกลนาทีและข้อความพิมพ์สีดำเหมือนกับรุ่น SBGW231 และใช้สายสเตนเลสสตีลแบบเมล็ดข้าวจาก SBGW235 ขณะที่ดีไซน์ตัวเรือนและกลไกยังคงเหมือนกับทั้ง 3 รุ่นรหัสที่กล่าวมา

ดีไซน์ของตัวเรือนสเตนเลสสตีลมาในทรงกลม ร่วมกับขอบตัวเรือนแบบผิวเรียบที่มีขอบสันคมชัด ขาตัวเรือนแบบแนวปาดอสมมาตร กระจกหน้าปัดแซพไฟร์คริสตัลทรงกล่องยกขอบสันเกลามนเคลือบสารกันแสงสะท้อน และฝาหลังแบบกรุแซพไฟร์คริสตัล ด้วยสัดส่วนโดยรวมอยู่ที่เส้นผ่าศูนย์กลาง 37.3 มิลลิเมตร ยาว 44.3 มิลลิเมตร และหนา 11.6 มิลลิเมตร ร่วมด้วยเม็ดมะยมชิ้นใหญ่หนาจับหมุนถนัด สามารถกันน้ำได้ 30 เมตร สำหรับการตกแต่งผิวตัวเรือนถูกกระทำมาอย่างงดงามด้วยการขัดเงาโดยใช้เทคนิค ‘Zaratsu’ (ซารัตสึ)

 

จุดเด่นของรุ่นรหัสนี้คือสายนาฬิกาสเตนเลสสตีลกว้าง 19.0 มิลลิเมตร ดีไซน์แบบเมล็ดข้าวแสนคลาสสิกสุดละมุน ที่แบ่งพื้นที่สายออกเป็น 7 ส่วนแถว โดยมี 3 แถวกลาง เป็นแบบเมล็ดข้าวเรียงหนึ่ง ขนาบด้วยแนวเส้น 2 ฝั่ง ผิวขัดเงาตัดกับแนวริมที่เป็นการปัดลายเส้นละเอียดและขัดเงาที่ส่วนลบเหลี่ยมกับด้านข้าง ซึ่งนอกจากจะดูละเมียดละไมและนุ่มนวลแล้ว ยังให้สัมผัสละมุนและแนบโค้งรับกับข้อมือได้เป็นอย่างดี แถมยังดูเรโทรซึ่งเหมาะและสอดคล้องกับดีไซน์ของตัวเรือนกับหน้าปัดซึ่งมีขนาดไม่ได้ใหญ่โตนักเป็นอย่างยิ่ง ส่วนตัวล็อกเป็นแบบบานพับปลดล็อกด้วยปุ่มกด

 

ภายใต้ความงดงามแบบสุขุมของโทนสีเงินเกือบทุกส่วนของนาฬิการุ่นนี้ บรรจุด้วยกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) จำนวนทับทิม 24 เม็ด บอกเวลาแบบ 3 เข็ม ไขขึ้นลานด้วยมือ Cal.9S64 ที่สำรองพลังงานได้นานถึง 3 วัน กับอัตราความเที่ยงตรงระดับไม่เกิน +5 หรือ -3 วินาที/วัน ตามมาตรฐาน ‘Grand Seiko Standard’ (แกรนด์ ไซโก สแตนดาร์ด) ที่ความถี่การทำงาน 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง งานตกแต่งบนชิ้นส่วนกลไกบรรจงทำมาอย่างงามด้วยการขัดวนบนแท่นเครื่อง และการขัดเป็นรายแถบริ้วบนสะพานจักร ร่วมด้วยการขัดเงาผิวเงาที่แนวปาด ทั้งยังลงสีน้ำเงินในร่องสลักตรา ‘GS’ กับชื่อแบรนด์ และลงสีทองในร่องสลักข้อความ

SBGW305 รุ่นนี้ ทาง Grand Seiko ตั้งราคาไว้ที่ 5,800 ยูโร หรือราว 221,000 บาท ซึ่งแพงกว่า SBGW231 สายหนังถึง 1,200 ยูโร  หรือราว 46,000 บาทเลยทีเดียว โดยจะเริ่มจำหน่ายที่บูติก Grand Seiko และตัวแทนจำหน่ายทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2023 เป็นต้นไป

SEIKO JUNE 23 CONTENT RGT
Luxe Time Pop Up