by: ‘TomyTom’
แบรนด์นาฬิกาเลิศหรู H. Moser & Cie. (เอช โมเซอร์ แอนด์ ซี) ปล่อยของเด็ดส่งท้ายปีด้วยนาฬิกาบอกเวลา 3 เข็มที่แหวกแนวและน่าจะสะดุดตาที่สุดแห่งปีเลยก็ว่าได้ กับ Endeavour Centre Seconds Genesis (เอนดีเวอร์ เซ็นเตอร์ เซกันด์ส เจเนสิส) ที่นำเสนอวิธีการรวมมิติทางกายภาพ ดิจิตอล และภาพเสมือนจริง เข้าไว้ด้วยกันอย่างน่าทึ่ง จนกลายมาเป็นนาฬิกาล้ำยุคที่เน้นความเป็นตัวตนส่วนบุคคลของผู้เป็นเจ้าของ ผ่านระบบนิเวศแบบองค์รวม ซึ่งรวมถึงการรับรองความถูกต้องของนาฬิกาด้วยบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิตอล และพื้นที่เมตาเวิร์สของนาฬิกา นี่เป็นการก้าวข้ามขีดจำกัดและออกจากพื้นที่อุ่นใจของ H. Moser & Cie. อย่างน่าประหลาดใจไม่น้อย โดยข้ามจากแดนจักรกลตามแบบแผนประเพณีเก่าแก่มาสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่ในโลกยุคปัจจุบัน
เพื่อให้กำเนิดนาฬิการุ่นนี้ H. Moser & Cie. ได้ทำการพัฒนาระบบนิเวศสมบูรณ์ ซึ่งนำเสนอการพิสูจน์ตัวตนของนาฬิกาด้วยบล็อกเชน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใสในการครอบครองนาฬิกา เอกสิทธิ์พิเศษที่เข้าถึงได้จากการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิตอล และพื้นที่เมตาเวิร์สที่มีไว้เพื่อแสดงนาฬิกาและผลประโยชน์ของลูกค้า ระบบนิเวศนี้สร้างโดย ‘Aura Blockchain Consortium’ (ออรา บล็อกเชน คอนซอร์เทียม) ผู้นำด้านโซลูชั่นเทคโนโลยีสำหรับกลุ่มสินค้าหรู ด้วย ‘Aura SaaS’ (ออรา ซาส) ลูกค้าสามารถเข้าถึงการตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างสมบูรณ์และโปร่งใสผ่านวงจรชีวิตของนาฬิกา ตั้งแต่การรับรอง การรับประกัน ประกันภัย และการบริการต่างๆ นอกจากนั้นสินทรัพย์ที่ไม่แสวงหากำไรนี้ยังถูกสร้างขึ้นในรูปแบบ ‘NFT’ (เอ็นเอฟที) ที่รวมถึงงานศิลป์ดิจิตอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิดีโอสั้น ‘Time Capsule’ (ไทม์ แคปซูล) สำหรับโปรโมทนาฬิกาและช่างนาฬิกาผู้อยู่เบื้องหลังการสร้าง โดยจะถูกผนึกไว้บนบล็อกเชนตลอดไปในทันทีที่นาฬิกาแต่ละเรือนผลิตเสร็จสมบูรณ์ ส่วนพื้นที่เมตาเวิร์สนั้น จะสามารถพบกับประวัติของแบรนด์ การผลิตนาฬิกา และทีมงานของแบรนด์ได้ด้วยประสบการณ์แบบเสมือนจริง โดยได้รับการออกแบบให้เป็นกระท่อมแบบสวิสที่ดูคลาสสิก เรียบง่าย แต่ทันสมัย ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณข้างน้ำตกไรน์ อันเป็นถิ่นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ H. Moser & Cie.
รูปลักษณ์หน้าตาของ Endeavour Centre Seconds Genesis โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยขอบตัวเรือนไทเทเนียมกับเม็ดมะยมไทเทเนียมที่ถูกพิมพ์แบบ 3 มิติ ให้มีลักษณะเป็นพิกเซลสุดแปลกตา ขณะที่ตัวเรือนเป็นสเตนเลสสตีลทำ ‘Microblast’ (ไมโครบลาสต์) ให้เกิดเป็นผิวด้าน ขอบตัวเรือนแบบพิกเซลนี้โอบล้อม QR โค้ด เฉพาะเรือน ซึ่งสลักไว้บนผิวกระจกหน้าปัดคริสตัลแซพไฟร์ ทำให้สามารถตรวจสอบความเป็นเจ้าของนาฬิกาได้ และให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าของในการเข้าถึงระบบนิเวศดิจิตอลและโลกเสมือนจริงที่สร้างขึ้นมา สิทธิพิเศษนี้ก็เช่น การให้สิทธิก่อนสำหรับการซื้อนาฬิการุ่นพิเศษบางรุ่นที่จะออกมาในอนาคต รวมไปถึงสิทธิในการซื้อนาฬิกาอีก 2 รุ่นของซีรีส์นี้ที่จะออกตามมาสมทบรวมกันเป็น 3 รุ่น การเป็นสมาชิกของชุมชน Moser และการเชื้อเชิญร่วมกิจกรรมของแบรนด์ เป็นต้น อีกทั้งตัวนาฬิกาและสินทรัพย์ดิจิตอลนี้ยังมีบริการประกันภัยให้ด้วย
มาถึงเรื่องสเปกของนาฬิกากันบ้าง ตัวเรือนของรุ่นนี้มีขนาดเท่ากับ 40.0 มิลลิเมตร กับความหนารวมกระจกหน้าปัดคริสตัลแซพไฟร์และฝาหลังกรุคริสตัลแซพไฟร์ที่วัดได้ 11.3 มิลลิเมตร ส่วนหน้าปัดใช้เป็น ‘Vantablack®’ (วานตาแบล็ก) ซึ่งให้สีดำที่ดำสนิทที่สุดในโลกเท่าที่มนุษย์จะสามารถทำได้ ขณะที่เข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีทรงใบไม้เรียวและเข็มวินาทีถูกเคลือบเป็นสีดำทั้งหมด ซึ่งต้องบอกว่าหากจะใช้นาฬิกาเรือนนี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการดูเวลาเป็นหลักแล้ว คงจะไม่เหมาะเท่าไร เพราะอ่านค่าได้ค่อนข้างยากหากไม่เพ่งกันจริงๆ ทั้งยังไม่มีมาร์คใดๆ มาให้อ้างอิงเป็นหลักชั่วโมงเลยด้วย การขับเคลื่อนมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกลไกอัตโนมัติ ‘In-house’ (อินเฮาส์) ขึ้นลาน 2 ทิศทาง ด้วยระบบลิ้นสปริง ‘Pawl Winding’ (พาวล์ ไวน์ดิง) ขนาดตัวเครื่อง 32.0 มิลลิเมตร หนา 5.5 มิลลิเมตร ความถี่การทำงาน 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้ 3 วัน จำนวนทับทิม 27 เม็ด Cal.HMC 200 ซึ่งใช้สายใยจักรกลอกแบบ ‘Original Straumann®’ (ออริจินอล สตรอแมนน์) และใช้โรเตอร์ฉลุโปร่งที่ทำจากทอง 18K จับคู่มากับสายหนัง ‘Kudu’ (คูดู) สีเทา เย็บด้วยมือ และล็อกด้วยหัวเข็มขัดสตีลผิว ‘Microblast’
Endeavour Centre Seconds Genesis Ref.1200-1238 รุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นในแบบ ‘Limited Edition’ (ลิมิเต็ด เอดิชั่น) โดยจำกัดจำนวนไว้เพียง 50 เรือน ราคาจำหน่ายกำหนดไว้ที่ 27,000 ฟรังก์สวิส หรือราว 1.018 ล้านบาท ซึ่งหากท่านใดสนใจที่จะซื้อ ต้องบอกไว้เลยว่า นอกจากการชำระเงินแบบปกติแล้ว ทางแบรนด์ยังรับการชำระด้วยสกุลเงินคริปโตด้วย