by: ‘Mr.Big’
นับตั้งแต่ที่ Longines (ลองจินส์) ฟื้นคืนชีวิตให้กับ Legend Diver (เลเจนด์ ไดเวอร์) หรือ ‘LLD’ คอลเลกชั่นนาฬิกาดำน้ำชนิด ‘Compressor Diver’ (คอมเพรสเซอร์ ไดเวอร์) ที่นำรูปแบบดีไซน์มาจากนาฬิกาดำน้ำรุ่นประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ซึ่งถือกำเนิดมาในช่วงปลายยุค 50s มาตั้งแต่ปี 2007 โดยผลิตมาในช่วงสั้นๆ เพียง 2 ปี ก่อนจะหยุดไปพักใหญ่ และรีเทิร์นกลับมาอีกครั้งในปี 2016 โดยบรรจุลงเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นหลักของแบรนด์ และมีผลงานใหม่ออกมาต่อเนื่อง ก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากบรรดาผู้รักนาฬิกาที่ชื่นชอบนาฬิกาดำน้ำสไตล์วินเทจ แถมยังเป็นเรือนดำน้ำแบบ ‘Compressor Diver’ ซึ่งน้อยแบรนด์นักจะทำนาฬิกาดำน้ำลักษณะนี้ออกมา ความนิยมดังกล่าวส่งผลให้ Longines แนะนำเวอร์ชั่นใหม่ๆ ของ Legend Diver อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้านดีไซน์ที่มีมาแต่เก่าก่อนได้อย่างน่าชื่นชม และวันนี้ก็ได้กลับมาสร้างทางเลือกเพิ่มขึ้น กับรุ่นล่าสุดที่ปรับไซส์ให้เหมาะกับเทรนด์ปัจจุบันที่ 39.0 มิลลิเมตร
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา Longines ได้สร้างสรรค์คอลเลกชั่น Legend Diver ออกมาเพียง 2 ขนาดเท่านั้น ได้แก่ 42.0 มิลลิเมตร และ 36.0 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ทำออกมาตามความเหมาะสมของข้อมือสุภาพบุรุษกับสุภาพสตรีอย่างชัดเจน ขณะที่วันเวลาผ่านไป ความนิยมในเรื่องไซส์นาฬิกาของผู้คนส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าปัจจุบัน ผู้ชายมักนิยมใส่นาฬิกาที่มีขนาดเล็กลงมาจากเดิม ขณะที่ผู้หญิงก็ยังคงนิยมนาฬิกาที่มีขนาดพอดีกับข้อมือ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป นั่นทำให้ Longines รังสรรค์ Legend Diver เอดิชั่นใหม่ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ปัจจุบัน ด้วยขนาด 39.0 มิลลิเมตร หนา 12.7 มิลลิเมตร อันถือเป็นตัวเลขที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป โดยสามารถใส่ได้ทั้งกับข้อมือผู้ชายและผู้หญิง หรือที่เรียกว่าเป็นรูปแบบ ‘Unisex’ (ยูนิเซ็กซ์)
ตัวเรือนรุ่นใหม่นี้ผลิตจากสเตนเลสสตีลขัดเงา มีลักษณะแบบ ‘Compressor Diver’ ที่ยังคงมาพร้อมความสามารถในการกันน้ำถึงระดับ 300 เมตร จากการผสานด้วยเทคโนโลยีดำน้ำยุคใหม่ ที่ไม่ได้ใช้การติดตั้งปะเก็นเพื่ออาศัยแรงดันใต้น้ำในการปิดผนึกตัวเรือนให้แน่นยิ่งขึ้นเหมือนกับ ‘Compressor Diver’ แบบดั้งเดิม เพื่อให้มั่นใจว่านาฬิกาเรือนนี้จะสามารถใช้งานได้จริงเมื่ออยู่ใต้น้ำในระดับความลึกไม่เกิน 300 เมตร ขณะที่เม็ดมะยมมาในรูปแบบคู่ไขว้เช่นเดียวกับรุ่นดั้งเดิม โดยบากเป็นร่องหยักเพื่อให้สามารถปรับหมุนได้สะดวกมากขึ้น โดยเม็ดมะยมตำแหน่ง 2 นาฬิกา จะทำหน้าที่ปรับหมุนขอบหน้าปัดที่อยู่ด้านในได้ 2 ทิศทาง เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดเวลาอยู่ใต้น้ำ ขณะที่เม็ดมะยมตำแหน่ง 4 นาฬิกา ใช้สำหรับตั้งเวลาและวันที่ตามปกติ ส่วนฝาหลังเป็นแบบทึบ พร้อมลายสลักใหม่ซึ่งแต่เดิมจะสลักเป็นรูปนักประดาน้ำกำฉมวกในอิริยาบถตั้งท่าแทงลงเบื้องล่าง แต่ในรุ่นนี้ปรับปรุงท่วงท่ามาเป็นลักษณะที่กำลังดำน้ำไปเบื้องหน้า โดยถือฉมวกเอาไว้ในมือตามปกติ ไม่ได้เตรียมตัวแทงแต่อย่างใด
เบื้องหลังกระจกหน้าปัดคริสตัลแซพไฟร์ทรงโดมเคลือบสารกันการสะท้อน เผยให้เห็นหน้าปัดผิวด้าน ในทางเลือกระหว่างสีดำหรือสีน้ำเงิน ที่ยังคงมากับเลย์เอาท์แบบเดิม แต่รู้สึกใกล้ชิดถึงความเป็นวินเทจมากขึ้นเนื่องจากเป็นสไตล์ ‘No Date’ (โน เดท) เช่นเดียวกับรุ่นต้นตำรับ โดยเป็นเวลากว่า 2 ปี แล้วที่ Longines ไม่ได้ทำหน้าปัดลักษณะนี้ให้กับ Legend Diver ขณะที่การตกแต่งรายละเอียดของหลักชั่วโมง แทร็คเวลา รวมถึงตัวเลขอารบิก ก็ยังคงใช้รูปแบบเดิม เพียงแต่ลดสัดส่วนให้เหมาะสมกับขนาดหน้าปัด ส่วนเข็มชุบโรเดียมมีดีไซน์ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยเข็มนาทีถูกปรับส่วนปลายกว้างขึ้นจนเป็นทรงดาบ ส่วนเข็มวินาทีก็ทำปลายเป็นทรงว่าวปักเป้า ทั้งนี้ก็เพื่อจุดประสงค์ในการเติมสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นว่าในส่วนของเข็มชั่วโมงก็ได้รับการเคลือบสารเรืองแสงยาวมาจนถึงส่วนก้าน นอกจากนั้นยังเติมเอาไว้ที่ตัวคั่นหลักชั่วโมงข้างตัวเลขอารบิก และเครื่องหมายสามเหลี่ยมโปร่งบนขอบหน้าปัดแนวลาดเอียงอีกด้วย
Legend Diver ขนาด 39.0 มิลลิเมตร รุ่นใหม่นี้บอกเวลา 3 เข็ม แบบไม่มีวันที่ พร้อมยกระดับการทำงานให้ดียิ่งขึ้นกว่าเก่าด้วยกลไกออโตเมติก Cal.L888.6 ที่ผ่านมาตรฐานความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์จากสถาบัน COSC และติดตั้งบาลานซ์สปริงซิลิกอนเพื่อตัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากพลังงานสนามแม่เหล็ก มีทับทิมกันสึก 21 เม็ด เดินด้วยความถี่ 25,200 ครั้ง/ชั่วโมง กับความสามารถในการกักเก็บพลังงานที่มากขึ้นจาก 60 เป็น 72 ชั่วโมง มาพร้อมกับสายที่มีให้เลือกทั้งสายสเตนเลสสตีลที่ดีไซน์ข้อช่วงกลางเป็นทรงเมล็ดข้าวพร้อมงานขัดเงา และระบบยืดสายสำหรับสวมใส่กับชุดประดาน้ำ สายหนังสไตล์วินเทจ หรือสายผ้า ‘NATO’ (นาโต) สามารถเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ราคา 109,200-117,000 บาท