UN HEADER 23
UN HEADER 23
Home Articles LONGINES MINI DOLCEVITA - เล็กหรู ดูสง่า

LONGINES MINI DOLCEVITA – เล็กหรู ดูสง่า

by: ‘Mr.Big’

 

คอลเลกชั่น DolceVita (โดลเซวิตา) จาก Longines (ลองจินส์) ยืนหนึ่งในฐานะนาฬิกาสำหรับสุภาพสตรีที่สะท้อนบุคลิกแห่งความหรูหรา ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากไลฟ์สไตล์แบบชาวอิตาเลียน ซึ่งมีศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า ‘Dolce Vita’ โดยถือกำเนิดมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 90s ภายใต้เสน่ห์ความงามในเอกลักษณ์ทรงเหลี่ยมที่สัมผัสได้ถึงงานศิลปะสไตล์ ‘Art Déco’ (อาร์ต เดโค) โดยในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา DolceVita ก็ถูกนำเสนอออกมามากมายหลายเวอร์ชั่น ต่างสีสัน ต่างบุคลิก แต่สามารถส่งมอบความประทับใจสู่ข้อมือหญิงสาวได้อย่างไม่มีแผ่ว และสำหรับปี 2023 นี้ก็ได้นำ DolceVita กลับมาอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้เป็นการปรับไซส์ให้เล็กลง เพื่อให้เข้ากับเทรนด์นาฬิกาเรือนเล็กที่กำลังมีกระแสอยู่ ณ ตอนนี้ และนี่คือ Mini DolceVita (มินิ โดลเซวิตา)

MITSUBISHI

 

แม้ว่า DolceVita จะถูกปรับไซส์ให้มีขนาดเล็กลงในรุ่นนี้ แต่เรื่องความสวยงามต้องบอกว่าไม่ได้เล็กตามไปด้วยเลย ด้วยขนาดตัวเรือน 21.5 × 29.0 มิลลิเมตร หนา 6.75 มิลลิเมตร ยังคงนำเสนอมาในดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ กับตัวเรือนสเตนเลสสตีลทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่วางส่วนของขาสายให้เป็นแนวเส้นเดียวกับขอบตัวเรือนด้านข้าง จนเกิดเป็นลูกเล่นหลอกตา โดยเมื่อมองเผินๆ จะดูเหมือนว่านาฬิการุ่นนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า กันน้ำได้ 30 เมตร พื้นผิวตัวเรือนขัดเงาวาววับ และยังมอบทางเลือกทีจะเพิ่มความหรูหราด้วยการประดับเพชรคัดเกรด ‘Top Wesselton’ (ท็อป เวสเซลตัน) ที่มีค่าความสะอาดของเพชรในระดับ ‘IF-VVS’ หรือ ‘Internally Flawless – Very Very Slightly Included’ (อินเทอร์นัลลี ฟลอวเลส – เวรี เวรี สไลจ์ลี อินคลูเด็ด) จำนวน 38 เม็ด น้ำหนักรวมราว 0.456 กะรัต ลงตามแนวขอบข้างและขาสายทั้ง 2 ฝั่ง ขณะที่ฝาหลังเป็นแบบแผ่นทึบที่กรุเข้าพอดีกับริมขอบ พร้อมสลักลายร่องเป็นแนวที่ด้านข้าง ในระนาบแบนราบไปกับข้อมือ เนื่องจากขนาดที่เล็กอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสริมส่วนโค้งใดๆ กลับกันกับส่วนบนที่ผนึกหน้าปัดด้วยคริสตัลแซพไฟร์ที่มีความโค้งเล็กน้อย และขาสายที่ลาดลงส่วนปลายอย่างสมูธ สร้างสุนทรียภาพความงามที่ลงตัวในทุกมุมมอง

 

หน้าปัดของ Mini DolceVita เวอร์ชั่นล่าสุดนี้จัดมาให้เลือกแบบจุใจถึง 3 ดีไซน์ กับ 5 เฉดสี ที่แตกต่างกัน ได้แก่สีเงินในสไตล์ DolceVita แบบดั้งเดิม ที่มากับดีไซน์ขอบหน้าปัดย่อย และ ‘Chapter Ring’ (แชปเตอร์ ริง) แบบสเกลรางรถไฟทรงกลมและงานปัดลายรัศมี หรือแบบหน้าปัดย่อย และ ‘Chapter Ring’ แบบสเกลรางรถไฟทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสพร้อมงานสลักลายหน้าปัดแบบ ‘Flinqué’ (แฟลงเก) และแบบสีทูโทนได้แก่ สีเขียวมินท์ สีฟ้า สีชมพูบลอสซั่ม หรือสีงาช้าง ที่วางสลับกับสีเงิน พร้อมเข็มและหลักชั่วโมงตัวเลขโรมันสีทอง กับหน้าปัดย่อยทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและ ‘Chapter Ring’ แบบสเกลรางรถไฟทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งเป็นการจับคู่สีที่สะท้อนรูปแบบอันคลาสสิกร่วมสมัย เป็นเสน่ห์ที่แตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้า ขณะที่การแสดงเวลานำเสนอในแบบ 2 เข็มครึ่ง โดยแยกเข็มวินาทีให้เดินอย่างอิสระภายในหน้าปัดย่อยตำแหน่ง 6 นาฬิกา ภายใต้มาตรฐานความเที่ยงตรงในระดับสูงจากเครื่องสวิสควอตซ์ Cal.L178 ทั้งยังเป็นการสร้างความสะดวกให้กับผู้หญิง เนื่องจากไม่จำเป็นต้องตั้งเวลาบ่อยๆ ซึ่งการที่ต้องมาตั้งเวลาบ่อยๆ กับนาฬิกาที่มีขนาดเล็กเช่นนี้ คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะสะดวกเท่าไรนัก

 

Mini DolceVita มาพร้อมสายสเตนเลสสตีลขัดมันที่ดีไซน์เป็นข้อสี่เหลี่ยมผืนผ้า 5 แถว กับบานพับล็อกพร้อมปุ่มกดปลดสาย หรือสายหนังจระเข้สีเข้ากับหน้าปัด หรือในสีสันที่อยากให้เป็น โดยติดตั้งมากับระบบที่ให้สามารถถอดเปลี่ยนสายได้อย่างง่ายดายด้วยตนเอง สามารถเลือกเป็นเจ้าของได้ในราคา 58,500 ถึง 142,400 บาท

SEIKO JUNE 23 CONTENT RGT
Luxe Time Pop Up