UN HEADER 23
UN HEADER 23
Home Articles MAURICE LACROIX PONTOS S DIVER - เจเนเรชั่นใหม่ของเรือนดำน้ำ 'Compressor'

MAURICE LACROIX PONTOS S DIVER – เจเนเรชั่นใหม่ของเรือนดำน้ำ ‘Compressor’

by: ‘Mr.Big’

 

Pontos S Diver (พอนโตส เอส ไดเวอร์) คือหนึ่งในคอลเลกชั่นนาฬิกาดำน้ำของ Maurice Lacroix (มอริซ ลาครัวซ์) ที่สร้างความนิยมมาตั้งแต่ปี 2013 ด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากนาฬิกาดำน้ำยุคปัจจุบันทั่วไป โดย Pontos S Diver ชูโรงด้วยกลิ่นอายวินเทจในรูปแบบนาฬิกา ‘Compressor Diver’ ที่นิยมอยู่ในยุค 70s ซึ่งมีลักษณะเด่นอยู่ที่การติดตั้งวงแหวนสำหรับการกำหนดเวลาดำน้ำที่ปลอดภัยเอาไว้ใต้กระจกหน้าปัด บริเวณขอบหน้าปัด และปรับหมุนด้วยเม็ดมะยมอีกชุด ซึ่งเหตุผลที่นาฬิการูปแบบดังกล่าวถูกเรียกว่า ‘Compressor Diver’ เกิดจากการที่สมัยก่อนนาฬิกาดำน้ำส่วนใหญ่จะใช้เทคโนโลยีในการผลิตตัวเรือนสำหรับการดำน้ำที่เรียกว่า ‘Compressor Case’ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้การอัดแก๊สเข้าไปภายในตัวเรือนของนาฬิกาเพื่อรักษาแรงดัน เป็นการต้านการรั่วซึมเข้ามาของน้ำ และยังทำให้นาฬิกาสามารถใช้งานได้ในระดับน้ำที่ลึกมากขึ้น แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้น ทางผู้ผลิตก็สามารถผลิตตัวเรือนที่กันน้ำได้ดีกว่าโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ‘Compressor Case’ อีกต่อไป

MITSUBISHI

 

แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีอีกหลายๆ แบรนด์ที่นำคุณลักษณะเด่นดังกล่าวมาใช้กับคอลเลกชั่นนาฬิกาของตน ด้วยเหตุผลด้านความสวยงาม หรือเป็นการเพิ่มจุดเด่นที่แสดงถึงความเป็นวินเทจ และ Pontos S Diver ก็เป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นที่ยึดในแนวทางดังกล่าวเสมอมา จนกลายเป็นคอลเลกชั่นที่มีจุดเด่น และเรียกความสนใจจากผู้รักนาฬิกาได้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเปิดตัวออกมากี่รุ่น และในปี 2023 นี้ก็ได้นำเสนอสมาชิกใหม่ของ Pontos S Diver ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ได้มีการอัพเดทด้านคุณภาพที่น่าสนใจหลายประการ ตามคำแนะนำของ Lidija Lijic (ลิดิยา ลิจิช) สาวนักดำน้ำ ‘Free-diving’ (ฟรีไดวิง) ดีกรีแชมป์โลกผู้เป็นหนึ่งใน ‘Friend of Brand’ (เฟรน ออฟ แบรนด์) ของ Maurice Lacroix ซึ่งเธอได้นำประสบการณ์จากการดำน้ำจริงมาเป็นเคสศึกษา เพื่อให้ทีมสร้างสรรค์ของ Maurice Lacroix สามารถรังสรรค์นาฬิการุ่นนี้ให้มีประสิทธิภาพในฐานะนาฬิกาดำน้ำที่สามารถใช้งานได้ในสถานการณ์จริง

Lidija Lijic

Lidija Lijic

Lidija Lijic

 

Pontos S Diver เวอร์ชั่นล่าสุดนี้มาพร้อมกับความสามารถในการกันน้ำลึกที่ระดับ 300 เมตร ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับข้อจำกัดของการดำน้ำในกีฬาดำน้ำตัวเปล่า โดยก่อนหน้านี้ Pontos S Diver ถูกผลิตขึ้นมาด้วยขีดความสามารถที่สูงปรี๊ดถึง 600 เมตร แม้ดูเหมือนว่าจะดี แต่ก็เกินความเป็นจำเป็นสำหรับการใช้งานจริง ตัวเลข 300 เมตร จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดของนาฬิการุ่นนี้ ขนาดของตัวเรือนอยู่ที่ 42.0 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ลดลงมาจากรุ่นก่อน อาจจะยังคงดูใหญ่ไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับเทรนด์นิยมในปัจจุบัน แต่นั่นก็ทำให้นาฬิกาเรือนนี้ดูเด่น สามารถสะท้อนเสน่ห์สไตล์วินเทจที่แสดงผ่านตัวเรือนที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘Compressor Case’ ได้อย่างเต็มที่ กับวัสดุที่เลือกได้ทั้งสเตนเลสสตีล และบรอนซ์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำบรอนซ์มาใช้ในคอลเลกชั่นนี้ ซึ่งจะเป็นงานผลิตจำนวนจำกัดแค่ 500 เรือน แต่ไม่ว่าจะเป็นวัสดุใด ก็มาพร้อมงานปัดผิวซาตินในพื้นที่หลัก แสดงออกถึงบุคลิกเข้มและดุดัน ผนึกหน้าปัดด้วยคริสตัลแซพไฟร์เคลือบสารกันการสะท้อน ส่วนฝาหลังเป็นแบบทึบ ตกแต่งด้วยลายสลัก ‘Vagues du Jura’ (วากส์ ดู ฌูรา) ประทับโลโก้ ‘M’ ของ Maurice Lacroix เอาไว้เต็มแผ่น

 

วงแหวนสำหรับกำหนดเวลาในการดำน้ำ ถูกติดตั้งไว้บริเวณขอบหน้าปัดตามแบบ ‘Compressor Diver’ สามารถปรับหมุนได้ผ่านเม็ดมะยมตำแหน่ง 2 นาฬิกา ซึ่งตกแต่งด้วยห่วงวงแหวนสีน้ำเงินหรือสีส้มเพื่อสร้างจุดสังเกตุให้มองเห็นชัดๆ เมื่ออยู่ใต้น้ำ ในขณะที่เม็ดมะยมที่ 3 นาฬิกา เป็นการตั้งเวลาและวันที่ตามปกติ ส่วนสีพื้นหน้าปัดในรุ่นสเตนเลสสตีล มีให้เลือกเป็นสีดำผิวเกรน พร้อมจุดดอทหลังหลักชั่วโมง เข็มนาที และปลายเข็มวินาทีไฮไลท์สีส้ม หรือพื้นสีขาวเคลือบแลคเกอร์ดูสะอาดตา สร้างไฮไลท์ด้วยจุดดอทหลังหลักชั่วโมง เข็มนาที และปลายเข็มวินาทีสีน้ำเงิน ตัดกันอย่างสวยงาม ส่วนรุ่นตัวเรือนบรอนซ์จับคู่มากับสีน้ำเงินผิวเกรนหยาบ พร้อมเข็มสีบรอนซ์ทอง ส่วนจุดดอทหลังหลักชั่วโมงและปลายเข็มวินาที เป็นไฮไลท์สีขาว กลมกลืนไปกับรายละเอียดอื่นๆ ซึ่งหลักชั่วโมงและเข็มของรุ่นนี้ได้รับการออกแบบให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเพื่อเน้นความคมชัด และเคลือบสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) สีขาว แสดงเวลาแบบ 3 เข็ม และวางช่องหน้าต่างแสดงวันที่แบบขัดใจเล็กน้อยที่ 3 นาฬิกา

 

การทำงานยังคงใช้บริการกลไกสามัญประจำแบรนด์อย่างกลไกออโตเมติก Cal.ML115 ซึ่งพัฒนาจาก Cal.Sellita SW-200 ติดตั้งทับทิมกันสึก 26 เม็ด มีความถี่ในการทำงาน 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง สำรองพลังงานได้ 38 ชั่วโมง และระบบแฮ็คเข็มวินาทีเพื่อการตั้งเวลาที่แม่นยำยิ่งขึ้น สามารถเลือกประกอบกับสายยางที่ดีไซน์ตามแบบฉบับ Maurice Lacroix หรือสายผ้าใบแบบลำลอง เฉพาะรุ่นตัวเรือนบรอนซ์จับคู่มากับสายยางสีน้ำเงิน และสายหนังลูกวัวสำหรับสำรองเปลี่ยน ทุกแบบติดตั้งสปริงบาร์ ‘Quick-release’ (ควิกรีลีส) เพื่อการถอดเปลี่ยนสายอย่างง่ายดายและรวดเร็ว เปิดราคาจำหน่ายมาที่ 72,900 บาท สำหรับรุ่นตัวเรือนสเตนเลสสตีล พร้อมสาย 3 เส้น และ 92,900 บาท ในรุ่นตัวเรือนบรอนซ์ที่ผลิตจำนวนจำกัด 500 เรือน โดยพร้อมให้จับจองต้นเดือนมิถุนายนนี้

 

SEIKO JUNE 23 CONTENT RGT