by: ‘Mr.Big’
หลังจากที่ได้แนะนำเรือนเวลารุ่นพิเศษที่สร้างสรรค์มาเพื่อโอกาสพิเศษในวาระครบรอบ 20 ปี ของการทำตลาดภายใต้แนวคิด ‘Inspired by Architecture’ (อินสไปรด์ บาย อาคิเทคเจอร์) ด้วยการนำแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมที่มีรูปแบบโดดเด่นทั่วโลก มาใช้เป็นหลักในการออกแบบนาฬิกาคอลเลกชั่นต่างๆ ของแบรนด์ ซึ่ง Mido (มิโด) ได้เปิดตัวในคอลเลกชั่น All Dial (ออล ไดอัล) เป็นรุ่นแรกเมื่อต้นปี และ Baroncelli (บารอนเซลลี) เป็นรุ่นที่ 2 ตามต่อกันมา ซึ่งในเดือนนี้ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แนะนำเรือนเวลารุ่นที่ 3 ในซีรีย์ฉลอง 20 ปี ของแนวคิด ‘Inspired by Architecture’ กับคอลเลกชั่นสปอร์ตดำน้ำยอดนิยมอย่าง Ocean Star (โอเชียน สตาร์) ในรุ่นที่มีชื่อเต็มๆ ว่า Ocean Star 20th Anniversary Inspired by Architecture Limited Edition (โอเชียน สตาร์ เดอะ ทเวนตีธ์ แอนนิเวอร์ซารี อินสไปรด์ บาย อาคิเทคเจอร์ ลิมิเต็ด เอดิชั่น)
สำหรับเรือนเวลาแห่งการเฉลิมฉลองงานสถาปัตยกรรมเรือนนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประภาคาร ‘Europa Point’ (ยูโรปา พอยต์) ซึ่งตระหง่านอยู่บริเวณปลายสุดของยิบรอลตาร์ เป็นประภาคารประภาคารทรงโบราณสีขาวที่ส่วนกลางคาดด้วยสีแดง ช่วยส่องทางให้แก่นักเดินเรือที่ล่องเรือตัดผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์ ณ ตำแหน่งที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติกบรรจบกัน นำมาสู่ดีไซน์ที่โดดเด่นของเรือนเวลาแห่งท้องทะเล ที่สร้างสรรค์ตัวเรือนด้วยสเตนเลสสตีลขนาด 42.5 มิลลิเมตร หนา 11.6 มิลลิเมตร ในองค์รวมที่ยังคงดีไซน์สปอร์ตแบบฉบับ Ocean Star วงแหวนขอบตัวเรือนประกบผิวหน้าด้วยอะลูมิเนียมอัลลอยสีน้ำเงิน สลักสเกล 60 นาที ซึ่งสามารถหมุนได้ทิศทางเดียว มาพร้อมความสามารถในการกันน้ำที่ระดับ 200 เมตร โดยเพิ่มความมั่นใจด้วยเม็ดมะยมแบบขันเกลียว และกระจกหน้าปัดชนิดคริสตัลแซพไฟร์เคลือบสารกันการสะท้อนทั้ง 2 ฝั่ง
พื้นหน้าปัดโดดเด่นในสีน้ำเงิน ติดตั้งหลักชั่วโมงทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ และสร้างเอกลักษณ์พิเศษที่แสดงถึงแรงบันดาลใจแห่งงานสถาปัตยกรรมด้วยการดีไซน์หลักชั่วโมงตำแหน่ง 12 นาฬิกา เป็นรูปทรงเหลี่ยมคอดตามโครงสร้างของประภาคาร ‘Europa Point’ ในสีขาว คาดด้วยแถบสีแดงตรงกลาง เช่นเดียวกับการตกแต่งของประภาคาร ด้านการแสดงเวลายังคงเป็นการแสดงแบบ 3 เข็ม พร้อมเคลือบด้วยสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) สีขาว ซึ่งเรืองแสงส่องสว่างในที่มืด เปรียบได้ดังประภาคารที่ช่วยส่องไฟนำทางนักเดินเรือในยามค่ำคืน เสริมด้วยการแสดงวันควบวันที่ภายในช่องหน้าต่างแนวยาวบริเวณ 3 นาฬิกา ทำงานด้วยกลไกออโตเมติก Cal.80 หรือในพื้นฐานของ Cal.C07.621 อันเป็นเวอร์ชั่นที่ ETA สร้างให้กับ Mido มีอัตราความถี่ 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง ทับทิม 25 เม็ด พร้อมความสามารถในการกักเก็บพลังงานที่มากถึง 80 ชั่วโมง
นอกจากนั้นยังเน้นย้ำถึงเอกลักษณ์แห่งงานสถาปัตยกรรมด้วยการสลักแผ่นฝาหลังเป็นรูปประภาคาร ‘Europa Point’ ในรายละเอียดแบบเดียวกับตัวประภาคารจริง ทั้งยังสลักเลขหมายประจำเรือนเอาไว้ควบคู่กัน โดยจำกัดจำนวนผลิตเอาไว้แค่ 1,841 เรือนทั่วโลก จับคู่มากับสายหนังบุผ้าสีน้ำเงินที่เย็บตะเข็บม้วนบริเวณต้นสาย อันนิยามถึงลักษณะแถบสีแดงของประภาคาร นาฬิกาแต่ละเรือนถูกบรรจุลงในกล่องนาฬิกาสุดพิเศษ พร้อมเหรียญที่ระลึกประจำคอลเลกชั่น ซึ่งมีลวดลายเดียวกับที่ปรากฏบนฝาหลัง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองปี 1,841 ปี ซึ่งเป็นปีที่ประภาคาร ‘Europa Point’ เปิดไฟนำทางให้กับเรือเดินสมุทรเป็นครั้งแรก โดยเปิดราคามาให้เป็นเจ้าของกันที่ 1,070 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 39,000 บาท