by: ‘Mr.Big’
เมื่อปี 1965 นั้น Seiko (ไซโก) ได้ผลิตนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกของแบรนด์และของญี่ปุ่น รู้จักกันในชื่อ ‘62MAS’ มาพร้อมความสามารถในการกันน้ำที่ระดับ 150 เมตร ซึ่งเรือนเวลาที่เป็นความภาคภูมิใจของแบรนด์รุ่นนี้ ถูกนำมาเป็นต้นแบบในการสร้างสรรค์เรือนเวลาดำน้ำรุ่นพิเศษที่เป็นการระลึกถึงปฐมบทแห่งการดำน้ำของแบรนด์หลายรุ่นในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่รูปแบบดังกล่าวจะมาปรากฏสู่สายตาคนรักนาฬิกา ในฐานะสมาชิกใหม่ของซีรีย์ ‘Save the Ocean’ (เซฟ ดิ โอเชี่ยน) และนี่คือ Prospex 1965 Diver’s Modern Re-interpretation Save the Ocean Limited Edition (พรอสเป็กซ์ 1965 ไดเวอร์ส โมเดิร์น รีอินเตอร์พรีเตชั่น เซฟ ดิ โอเชี่ยน ลิมิเต็ด เอดิชั่น)
เรือนเวลารุ่นนี้ไม่ได้เป็นการนำรูปแบบของ ‘62MAS’ มาใช้ทั้งหมดเหมือนรุ่นก่อนๆ แต่เป็นการผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ดั้งเดิมกับรูปแบบสมัยใหม่ พร้อมกับปรับขนาดให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เพื่อให้เป็นเรือนเวลาสไตล์ร่วมสมัยในลุคสปอร์ตดำน้ำที่สวยงามลงตัว ตัวเรือนสร้างสรรค์ในขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม คือ 41.3 มิลลิเมตร หนา 13.1 มิลลิเมตร และเพิ่มการชุบแข็งในรูปแบบ ‘Super-hard Coating’ (ซูเปอร์ฮาร์ด โคติง) พร้อมขัดเหลี่ยมลบมุมด้วยเทคนิคเฉพาะตัวแบบ ‘Zaratsu’ (ซารัตสึ) แต่ยังคงสร้างสรรค์ขึ้นจากสเตนเลสสตีลที่ปกป้องการรบกวนจากพลังงานสนามแม่เหล็กได้ 4,800 A/m ส่วนขอบตัวเรือนถูกดีไซน์ให้มีขนาดกว้างขึ้น และใช้ฟอนต์ตัวเลขที่มีขนาดหนา ดูสมส่วน บนพื้นสีน้ำเงินเข้ม สามารถปรับหมุนได้ทิศทางเดียว กรุกระจกหน้าปัดชนิดคริสตัลแซพไฟร์โค้งเคลือบสารกันการสะท้อน สามารถกันน้ำได้ 200 เมตร
และเพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ ‘Save the Ocean’ จึงสร้างสรรค์พื้นหน้าปัดด้วยสีน้ำเงินที่สะท้อนถึงสีของมหาสมุทร และเพิ่มความน่าสนใจด้วยการสลักลายเส้นที่ได้แรงบันดาลใจจากแผนที่ทางดาราศาสตร์โบราณที่ปรากฏอยู่บน ‘Astrolabe’ (แอสโตรเลบ) เครื่องมือคำนวนพิกัดทางดาราศาสตร์สมัยโบราณซึ่งใช้ประโยชน์ในการนำทางสำหรับการเดินเรือ โดยสามารถระบุละติจูดและเวลาที่แท้จริงของตำแหน่งตามตำแหน่งดวงดาวและดวงอาทิตย์ ส่วนเข็มบอกเวลาและหลักชั่วโมงมีการปรับเปลี่ยนไปจากรูปแบบของ ‘62MAS’ บางส่วน นั่นคือปลายเข็มถูกทำเป็นทรงแหลม หลักชั่วโมงที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา มีขนาดคอดลง รวมถึงช่องหน้าต่างแสดงวันที่ที่ 3 นาฬิกา ก็ปรับให้มีขนาดเล็กลง พร้อมกับติดตั้งแท่งหลักชั่วโมงขนาดจิ๋วประกบไว้ด้านข้าง ส่วนการแสดงเวลายังคงนำเสนอในแบบ 3 เข็ม และเคลือบสารเรืองแสง ‘LumiBrite’ (ลูมิไบรท์) ที่เรืองแสงเป็นสีเขียวระเรื่อ เอื้อประโยชน์สำหรับการดูเวลาในที่มืด
ในส่วนของการทำงาน เป็นการขับเคลื่อนด้วยกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) ออโตเมติก Cal.8L35 อันเป็นคาลิเบรอที่ติดตั้งอยู่เฉพาะคอลเลกชั่นนาฬิกาดำน้ำ และสามารถขึ้นลานด้วยมือได้อีกทางหนึ่ง ร่วมด้วยระบบแฮคเข็มวินาที ติดตั้งจำนวนทับทิม 26 ชิ้น ความถี่การทำงาน 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง กักเก็บพลังงานได้ 50 ชั่วโมง และมีอัตราความคลาดเคลื่อนของเวลาอยู่ที่ +15 ถึง -10 วินาที/วัน ประกอบกับสายยางซิลิโคนสีน้ำเงินปั๊มลาย พร้อมตัวล็อกสายสเตนเลสสตีล ส่งมอบให้เป็นเจ้าของกันแค่เพียง 1,300 เรือนทั่วโลก โดยราคาที่เปิดเผยราคาในยุโรปอยู่ที่ 3,000 ยูโร หรือราวๆ 110,000 บาท กำหนดวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป