HOME HEADER
HOME HEADER
Home Articles SEIKO PROSPEX 1968 DIVER’S MODERN RE-INTERPRETATION GMT - ครั้งแรกของฟังก์ชัน GMT ในเรือนดำน้ำตระกูล ‘Prospex’

SEIKO PROSPEX 1968 DIVER’S MODERN RE-INTERPRETATION GMT – ครั้งแรกของฟังก์ชัน GMT ในเรือนดำน้ำตระกูล ‘Prospex’

by: ‘Mr.Big’

 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 58 ปี นับตั้งแต่ที่นาฬิกาดำน้ำในตระกูล Prospex (พรอสเป็กซ์) จาก Seiko (ไซโก) ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1965 ซึ่งได้นำเสนอรุ่นต่างๆ ออกมามากมายหลากหลายรูปแบบ แต่ทว่ากลับไม่เคยมีรุ่นใดเลยที่นำฟังก์ชัน GMT (จีเอ็มที) มาผสานเข้าไว้ด้วยกัน กระทั่งวันนี้ที่ Seiko นำจิ๊กซอว์ส่วนที่ขาดหาย มาเติมเต็มให้กับ Prospex ด้วยการเปิดตัวสมาชิกใหม่ 3 รุ่น ที่มากับฟังก์ชัน GMT พร้อมด้วยกลไกชุดใหม่เป็นครั้งแรก และนี่คือ Prospex 1968 Diver’s Modern Re-interpretation GMT (พรอสเป็กซ์ 1968 ไดเวอร์ส โมเดิร์น รีอินเตอร์เพรเทชั่น จีเอ็มที)

MITSUBISHI

 

นาฬิกาดำน้ำจากตระกูล Prospex ทั้ง 3 รุ่นใหม่ที่เปิดตัวมาพร้อมฟังก์ชัน GMT นำเสนอในรุ่นรหัส SPB381 และ SPB383 นั้นผลิตในไลน์คอลเลกชั่นปกติ ส่วนอีกหนึ่งรุ่นคือรหัส SPB385 เป็นรุ่นผลิตแบบ ‘Limited Edition’ (ลิมิเต็ด เอดิชั่น) ภายใต้โปรเจกต์ ‘Save the Ocean’ (เซฟ ดิ โอเชี่ยน) จำนวน 4,000 เรือน โดยแต่ละแบบจะมีความแตกต่างกันตรงที่สีและลายของหน้าปัด ถึงอย่างไร ทั้ง 3 รุ่น ก็ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้ดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Professional Diver Hi-Beat 6159-7001 (โปรเฟสชั่นแนล ไดเวอร์ ไฮบีท 6159-7001) ที่เปิดตัวในปี 1968 ภายใต้รูปทรงที่ดูบึกบึนแข็งแรง ได้กลิ่นอายความเป็นนาฬิกาดำน้ำแบบชัดเจน

SPB381

SPB383

SPB385

 

ตัวเรือนของทั้ง 3 รุ่น ผลิตขึ้นจากสเตนเลสสตีลชุบแข็งขนาด 42.0 มิลลิเมตร หนา 12.9 มิลลิเมตร แต่งผิวแบบปัดด้านสลับขัดมัน ติดตั้งวงแหวนเซรามิกสีดำ หรือสีเขียวเฉพาะรุ่น SPB381 สลักสเกล 60 นาที พร้อมเครื่องหมายสามเหลี่ยมคว่ำที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา สามารถปรับหมุนได้ทิศทางเดียว ติดตั้งเม็ดมะยมชนิดขันเกลียวไว้ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา และฝาหลังแบบทึบแบบขันเกลียวเช่นเดียวกัน เพื่อมอบความสามารถในการกันน้ำที่ระดับ 200 เมตร

 

รายละเอียดบนหน้าปัดยังคงนำรูปแบบของนาฬิกาดำน้ำรุ่นดังปี 1965 มาใช้เช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของเข็ม รวมถึงหลักชั่วโมง แต่เสริมเพิ่มด้วยฟังก์ชัน GMT ที่แสดงผ่านเข็มหัวลูกศรซึ่งติดตั้งร่วมชุดแกนเข็มหลัก โดยจะชี้แสดงเวลาไทม์โซนที่ 2 ในรูปแบบ 24 ชั่วโมง อ่านค่าร่วมกับสเกล 24 ชั่วโมง บนแนวเอียงของขอบหน้าปัด และเสริมการมองเห็นจากการเคลือบสารเรืองแสง ‘LumiBrite’ (ลูมิไบรท์) ลงบนเข็มและหลักชั่วโมง สำหรับ SPB381 นำเสนอในหน้าปัดสีเขียวผิวด้าน พร้อมเข็ม GMT สีทอง รุ่น SPB383 จัดมาด้วยหน้าปัดสีดำ ‘Dark Depths’ (ดาร์ค เดพธ์ส) ผิวด้าน และเข็ม GMT สีทองเช่นเดียวกัน ในขณะที่ SPB385 ซึ่งอยู่ในซีรีย์ ‘Save the Ocean’ โดดเด่นด้วยหน้าปัด ‘Glacier blue’ (กลาเซียร์ บลู) สีฟ้าใสแต่งลายคล้ายพื้นผิวน้ำแข็ง ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากธารน้ำแข็งขั้วโลกของมหาสมุทรอาร์กติกและแอนตาร์กติก พร้อมเข็ม GMT สีน้ำเงินเข้ม นอกจากนั้นยังเพิ่มเติมฟังก์ชันแสดงวันที่ผ่านช่องหน้าต่างที่ติดตั้งอยู่ระหว่างตำแหน่ง 4-5 นาฬิกา อีกด้วย

 

ทั้ง 3 รุ่น บรรจุกลไกการทำงาน ‘In-house’ ออโตเมติก Cal.6R54 อันเป็นกลไกชุดใหม่แกะกล่องที่เดบิวท์มาพร้อมกับ 3 รุ่นใหม่นี้ โดยยังคงสมรรถนะอันทรงพลังจากตระกุล 6R ไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระบบการขึ้นลานแบบไฮบริดจากการเคลื่อนไหวหรือการไขลานผ่านเม็ดมะยมโดยตรง มีอัตราความถี่ที่ 21,600 ครั้ง/ชั่วโมง ค่าสำรองพลังงานที่ 72 ชั่วโมง และติดตั้งทับทิมกันสึกจำนวน 24 เม็ด โดยมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตัวเครื่อง 27.4 มิลลิเมตร หนา 5.3 มิลลิเมตร ประกอบอย่างเข้ากันกับสายสเตนเลสสตีลชุบแข็ง ติดตั้งตัวล็อกแบบบานพับ 3 ทบ พร้อมสลักนิรภัย โดยรุ่นพิเศษ SPB385 ยังเพิ่มเติมมาด้วยสายโพลีเอสเตอร์ที่ผลิตขึ้นจากกระบวนการรีไซเคิลขวดพลาสติก นำมาสานถักด้วยวิธีการดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่เรียกว่า ‘Seichu’ (เซย์ซู) เพิ่มให้อีกหนึ่งเส้นด้วย ตั้งราคาขายเอาไว้ที่ 1,700 ยูโร หรือราว 64,000 บาท สำหรับ SPB381 กับ SPB383 และ 1,900 ยูโร หรือประมาณ 72,000 บาท สำหรับ SPB385 ที่อยู่ในซีรีย์ ‘Save the Ocean’ จำนวน 4,000 เรือน

SEIKO MAY 23 CONTENT RGT