by: ‘Mr.Big’
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราอาจเห็นแบรนด์นาฬิกาต่างๆ สร้างสรรค์เรือนเวลาด้วยการ ‘Collaboration’ (คอลลาบอเรชั่น) ร่วมกับแบรนด์ชั้นนำจากหลากหลายวงการ ซึ่งก็รวมไปถึงแบรนด์นาฬิกาด้วยกันเองมาแล้วมากมาย แต่สำหรับครั้งนี้ ถือเป็นการ ‘Collaboration’ ที่คาดไม่ถึง กับ 2 แบรนด์นาฬิกาที่มีความแตกต่างกันสุดขั้ว ระหว่างแฟชั่นแบรนด์ชื่อดังขวัญใจชาวชิคอย่าง Swatch (สวอทช์) กับยี่ห้อมหาชนขวัญใจนักสะสมอย่าง Omega (โอเมก้า) ที่จับมือกันเพื่อเผยโฉมคอลเลกชั่นสุดต๊าซ โดยนำรูปแบบจากคอลเลกชั่นไอคอนิกของ Omega อย่าง ‘Moonwatch’ (มูนวอทช์) มาแต่งแต้มด้วยสีสันสดใสของแฟชั่นน่ารักในแบบฉบับ Swatch ออกมาเป็นคอลเลกชั่นที่ตั้งชื่อมาอย่างน่าสนใจว่า Speedmaster MoonSwatch (สปีดมาสเตอร์ มูนสวอทช์)
สำหรับโปรเจกต์ในการจับมือกันในครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 9 เดือนที่ผ่านมา เมื่อ Raynald Aeschlimann (เรนัลด์ เอสชลิมานน์) ประธานและ CEO ของ Omega ประชุมร่วมกับ Carlo Giordanetti (คาร์โล จิออร์ดาเนตตี) ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของ Swatch และ Gregory Kissling (เกรเกอรี คิสลิง) หัวหน้าฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Omega ในโปรเจกต์ที่จะหาจุดร่วมในความเป็นไปได้ที่จะผสานรูปแบบที่เป็นไอคอนของแบรนด์ทั้ง 2 เข้าไว้ด้วยกัน โดยที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การใส่โลโก้จากแบรนด์หนึ่งไปยังผลิตภัณฑ์ของอีกแบรนด์หนึ่งเท่านั้น แต่จะต้องสามารถสะท้อนเอกลักษณ์ที่เป็นตัวตนของทั้ง 2 แบรนด์ ออกมาได้อย่างชัดเจน แบบที่ไม่เบียดบังกันและกัน และผลลัพธ์จากการระดมความคิดในครั้งนั้นก็คือการนำรูปแบบที่เป็นซิกเนเจอร์ระดับตำนานอย่าง ‘Moonwatch’ มาสร้างสรรค์ในรูปแบบและสีสันที่ดูสนุกสนานตามจุดเด่นของ Swatch จนกระทั่งกลายเป็น Speedmaster MoonSwatch นั่นเอง
Speedmaster MoonSwatch เผยโฉมมาให้เลือกกันทั้งหมดถึง 11 รูปแบบ ที่แตกต่างกันในเฉดสีและรายละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละเรือน โดยตัวเรือนของทุกแบบผลิตขึ้นจากเซรามิกชีวภาพ หรือ ‘Bioceramic’ (ไบโอเซรามิก) วัสดุที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ Swatch ในขนาด 42.0 มิลลิเมตร จำนวน 10 รุ่น และ 38.0 มิลลิเมตรอีก 1 รุ่น และมีความหนาอยู่ที่ 13.0 มิลลิเมตร และกันน้ำได้ 30 เมตร เท่ากันทุกรุ่น แสดงสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือด้วยโลโก้ พิเศษของทั้ง 2 แบรนด์บนยอดเม็ดมะยม ส่วนรายละเอียดด้านดีไซน์โดยรวมใช้ลักษณะและฟังก์ชันของ ‘Moonwatch’ จากแต่ละซีรียของ Omega โดยมีเอกลักษณ์สำคัญอยู่ที่สเกล ‘Tachymeter’ (ทาคีมิเตอร์) บนวงแหวนขอบตัวเรือน และเลย์เอาท์หน้าปัดจับเวลาแบบ ‘Tri-Compax’ (ไตรคอมแพ็กซ์) โดยใช้ลักษณะการอ่านค่าเช่นเดียวกับ Speedmaster Moonwatch (สปีดมาสเตอร์ มูนวอทช์) ส่วนเข็มและหลักชั่วโมงได้รับการเคลือบด้วยสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) ซึ่งเป็นชนิดเกรดเดียวกับ ‘Moonwatch’ เช่นเดียวกัน ในขณะที่โลโก้แบรนด์จัดแสดงแบบ ‘Double Name’ (ดับเบิล เนม) บริเวณใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และขับเคลื่อนการทำงานด้วยเครื่องสวิสควอตซ์โครโนกราฟ ซึ่งเพิ่มลูกเล่นด้วยฝาปิดแบตเตอรี่ที่รังสรรค์เป็นภาพถ่ายดวงดาวในกาแล็กซี่ระบบสุริยะทั้ง 11 ดวง จากองค์การ NASA (นาซ่า) พร้อมข้อความ ‘Dream Big, Fly Higher, Explore the Universe, Reach for the Planets, Enjoy the Mission’ (ดรีม บิ๊ก, ฟลาย ไฮเออร์, เอ็กซ์พลอร์ เดอะ ยูนิเวิร์ส, รีช ฟอร์ เดอะ แพลเน็ตส์, เอ็นจอย เดอะ มิสชั่น) ประกอบกับสายเวลโครในเฉดสีที่เข้ากันกับตัวเรือนซึ่งกระชับติดข้อมือด้วยแถบตีนตุ๊กแก
สำหรับเรือนเวลาทั้ง 11 รุ่น จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามชื่อของดวงดาวในกาแล็กซี่ระบบสุริยะ ซึ่งใช้เฉดสีที่เกี่ยวเนื่องกันตามลักษณะของดวงดาวแต่ละดวงดังต่อไปนี้
‘Mission to the Sun’ (มิสชั่น ทู เดอะ ซัน) จากความร้อนแรงของดวงอาทิตย์ ปรากฏเป็นสีสันตัวเรือนสีทองอร่าม ตัดกับสีขาวของวงแหวนขอบตัวเรือนจากส่วนของเปลวเพลิงสีขาวบริเวณกึ่งกลางของดวงอาทิตย์ โดยที่หน้าปัดรังสรรค์เป็นสีทองปัดลายรัศมี ตัดกับวงหน้าปัดย่อยสีขาวและเข็มสีแดง
‘Mission to the Mercury’ (มิสชั่น ทู เดอะ เมอคิวรี) จากสีสันของดวงดาวที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ในโทนสีเทาดำอันกลมกลืนที่สะท้อนถึงพื้นผิวสีเขม่าที่ถูกเผาไหม้จากความร้อนของดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา
‘Mission to the Venus’ (มิสชั่น ทู เดอะ วีนัส) สำหรับรุ่นนี้มีความพิเศษกว่าเรือนอื่นๆ ด้วยขนาดตัวเรือนที่ลดลงมาเหลือ 38.0 มิลลิเมตร เพื่อให้รับกับข้อมือสุภาพสตรี ในฐานะที่เป็นดาวตัวแทนของความงามและหญิงสาว ตัวเรือนของนาฬิการุ่นนี้จึงเลือกที่จะใช้เป็นเฉดสีชมพู วงแหวนขอบหน้าปัดแบบทูโทนสีชมพู-ขาว และพื้นหน้าปัดสีอมชมพูระเรื่อ เช่นเดียวกับลักษณะของดาวศุกร์ที่ชั้นบรรยากาศปกคลุมไปด้วยก๊าซ จึงทำให้มีพื้นผิวสีขาวนวลเนียนตา พร้อมดีไซน์วงหน้าปัดย่อยในทรงวงรีที่ตกแต่งด้วยลายพิมพ์รูปเหลี่ยมเพชร
‘Mission on Earth’ (มิสชั่น ออน เอิร์ธ) เรือนที่เป็นตัวแทนของโลกใบนี้ นำเสนอด้วยสีเขียวของธรรมชาติบนแผ่นดิน ตัดกับสีน้ำเงินเข้มของมหาสมุทรบนวงแหวนขอบตัวเรือนและหน้าปัด พร้อมวงหน้าปัดย่อยสีขาวของปุยเมฆ
‘Mission to the Moon’ (มิสชั่น ทู เดอะ มูน) ถือเป็นรุ่นที่มีสีสันและรูปแบบใกล้เคียงกับ ‘Speedmaster Moonwatch’ ดั้งเดิมมากที่สุด ในตัวเรือนสีเทาแบบไทเทเนียมตามลักษณะสีของพื้นผิวดวงจันทร์ ผสานกับวงแหวนขอบตัวเรือนและหน้าปัดสีดำ
‘Mission to the Mars’ (มิสชั่น ทู เดอะ มาร์ส) เลือกใช้สีแดงตามลักษณะสีของดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด โดยสีดังกล่าวนับว่าเป็นสีที่ทำได้ยากที่สุดสำหรับ ‘Bioceramic’ ส่วนวงแหวนขอบตัวเรือนและหน้าปัดเป็นสีขาว และเข็มจับเวลาที่นำรูปแบบมาจากรุ่น ‘Alaska Project’ (อลาสกา โปรเจกต์)
‘Mission to the Jupiter’ (มิสชั่น ทู เดอะ จูปิเตอร์) นำเสนอในสีบรอนซ์เทา ทั้งในส่วนของตัวเรือนและหน้าปัด ตามลักษณะของกลุ่มพายุก๊าซที่ลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัส ตัดกับเข็มวินาทีและเข็มจับเวลาสีส้มในแบบฉบับของซีรี่ย์ ‘Ultraman’ (อุลตราแมน)
‘‘Mission to the Saturn’ (มิสชั่น ทู เดอะ แซเทิร์น) ปรากฏในตัวเรือนสีเบจที่เข้ากันอย่างกลมกลืนกับสีน้ำตาลที่วงแหวนขอบตัวเรือนและวงหน้าปัดย่อย และเพิ่มเติมความพิเศษด้วยการตกแต่งรูปดาวเสาร์พร้อมวงแหวนบนหน้าปัดย่อยที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา
‘Mission to the Uranus’ (มิสชั่น ทู เดอะ ยูเรนัส) ตัวแทนของดวงดาวที่มีสีฟ้าสดใส ก็ย่อมที่จะต้องมากับตัวเรือนและหน้าปัดสีฟ้า ทั้งยังเข้ากันอย่างกลมกลืนกับสีขาวของวงแหวนขอบตัวเรือนและเข็ม
‘Mission to the Neptune’ (มิสชั่น ทู เดอะ เนปจูน) ตัวแทนของดวงดาวน้ำแข็งยักษ์ สร้างสรรค์ตัวเรือนและหน้าปัดด้วยสีน้ำเงินแบบทูโทน ตัดกับรายละเอียดและเข็มสีขาว
‘Mission to the Pluto’ (มิสชั่น ทู เดอะ พลูโต) จากลักษณะของดาวเคราะห์แคระที่อยู่สุดขอบระบบสุริยะ ถูกนำเสนอออกมาในตัวเรือนสีเงิน หน้าปัดสีครีม พร้อมวงแหวนขอบตัวเรือนและวงหน้าปัดย่อยสีแดงเบอร์กันดีผสานกันอย่างสวยงาม
แต่ละเรือนในคอลเลกชั่น Speedmaster MoonSwatch มาพร้อมกับกล่องบรรจุดีไซน์พิเศษในสีสันและการตกแต่งที่แสดงถึงรุ่นนั้นๆ ส่วนราคาได้รับการตั้งเอาไว้เท่ากันทุกรุ่นที่ 8,700 บาท