UN HEADER 23
UN HEADER 23
Home Articles TAG HEUER MONACO CHRONOGRAPH SKELETON - ตำนานสปอร์ตเรือนเหลี่ยมโชว์จักรกล

TAG HEUER MONACO CHRONOGRAPH SKELETON – ตำนานสปอร์ตเรือนเหลี่ยมโชว์จักรกล

by: ‘Mr.Big’

 

คอลเลกชั่น Monaco (โมนาโค) ของ TAG Heuer (แทค ฮอยเออร์) คือเรือนเวลาที่สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยจิตวิญญาณของโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ต โดยนำเสนอในเอกลักษณ์ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมาโดยตลอด และเมื่อเร็วๆ นี้ TAG Heuer ก็ได้เผยโฉมสมาชิกล่าสุดของคอลเลกชั่นนี้อีกครั้ง เพื่อต้อนรับการแข่งขันรถยนต์รายการระดับโลก ‘Monaco Grand Prix’ ครั้งที่ 80 ที่จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยครั้งนี้นำเสน่ห์เหลือล้ำของจักรกลมาเสนอให้ชมกันแบบเต็มตาใน Monaco Chronograph Skeleton (โมนาโค โครโนกราฟ สเกเลตัน)

MITSUBISHI

 

แม้จะอยู่ในคอลเลกชั่นสปอร์ตที่ได้ชื่อว่ามีกลิ่นอายคลาสสิกอยู่ในตัว แต่เรือนเวลาซีรีย์นี้ก็ถูกรังสรรค์ออกมาภายใต้แนวคิดร่วมสมัยที่สะท้อนความรู้สึกไปถึงอนาคต โดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่คุ้นตากันดีของตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 39.0 มิลลิเมตร หนา 14.7 มิลลิเมตร ในวัสดุไทเทเนียมเกรด 2 ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และทนทานต่อการกัดกร่อนของสารเคมี แต่งผิวแบบพ่นทราย ช่วยเสริมบุคลิกให้ดุดันยิ่งขึ้น ในขณะที่กระจกหน้าปัดยังคงใช้คริสตัลแซพไฟร์ทรงกล่องเคลือบด้วยสารกันการสะท้อน ฝาหลังก็กรุด้วยคริสตัลแซพไฟร์ทรงกลมเพื่อโชว์การทำงานของกลไกและการกวัดแกว่งของโรเตอร์ที่อยู่ภายใน สามารถกันน้ำได้ 100 เมตร

 

หน้าปัดนำเสนอในแบบ ‘Skeleton’ เพื่อโชว์ชุดจักรกลคุณภาพที่อยู่ภายใน โดยมีโครงสะพานจักรปิดบังไว้แค่เล็กน้อยเท่านั้น ตัดกับบริเวณทั้ง 4 มุม ซึ่งน่าสนใจว่าโครงสะพานจักรนี้ได้รับการออกแบบให้มีเส้นสายล้ำสมัย ลบภาพคลาสสิกแบบเดิมๆ ของ Monaco รุ่นก่อนๆ โดยสิ้นเชิง ซึ่ง TAG Heuer ก็ใช้โครงสะพานจักรนี้สร้างความแตกต่างด้วยการเติมสีสันลงบนบางส่วน โดยทำออกมาใน 3 รูปแบบ ได้แก่โครงสะพานจักรสีน้ำเงินแบบ ‘Original Blue’ (ออริจินัล บลู) อันได้แรงบันดาลใจจากหน้าปัดสีน้ำเงินของ Heuer Monaco รุ่นแรกในปี 1969 แบบโครงสะพานจักรสีดำแต่ตั้งชื่อว่า ‘Racing Red’ (เรซซิ่ง เรด) อันสื่อถึงแสงไฟสีแดงของรถแข่งในสนามแข่ง ซึ่งทั้ง 2 แบบตัดด้วยสีเงินที่เป็นส่วนของพื้นบริเวณทั้ง 4 มุมหน้าปัด อันเป็นส่วนที่อยู่นอกเหนือชุดจักรกลที่มีโครงสร้างเป็นทรงกลม ในขณะที่แบบสุดท้ายคือสี ‘Turquoise’ (เทอร์คอยส์) สร้างความแตกต่างจาก 2 รุ่นข้างต้น ด้วยการทำสีโครงสะพานจักร รวมถึงขอบมุมเป็นสีดำ ตัดด้วยสีเทอร์คอยส์ที่นิยามถึงสีของน้ำทะเลบริเวณชายฝั่งของราชรัฐโมนาโก ลากเป็นเส้นหลักชั่วโมงและขอบหน้าปัดย่อยอย่างสะดุดตา เข้ากันกับตัวเรือนที่เคลือบเป็นสีดำสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ ทั้งนี้ก็ยังเคลือบสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ ลูมิโนวา) ลงบนเข็มชั่วโมง นาที และหลักชั่วโมง รวมถึงโครงสะพานจักรบางส่วน และฐานวันที่บริเวณ 6 นาฬิกา เรืองแสงเป็นสีฟ้าระเรื่อในความมืดอย่างน่าชม

 

ในส่วนของฟังก์ชันยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนหน้า นั่นคือการแสดงเวลาแบบ 2 เข็ม พร้อมวันที่ และแสดงค่าจับเวลาผ่านเข็มวินาทีหลัก ร่วมกับหน้าปัดย่อยทรงสี่เหลี่ยม 2 วง ที่วางเลย์เอาท์แบบ ‘Bi-compax’ (ไบคอมแพ็กซ์) สร้างจุดสังเกตด้วยการลงแลคเกอร์สีแดงบนเข็มจับเวลาทั้ง 3 ของทุกรุ่น ทำงานด้วยกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) ออโตเมติกโครโนกราฟ Cal.Heuer 02 พร้อม ‘Column-wheel’ (คอลัมน์วีล) สามารถจับเวลาได้ต่อเนื่อง 12 ชั่วโมง มีความถี่การทำงาน 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง และค่าพลังงานสำรอง 80 ชั่วโมง ผ่านการขึ้นลานจากแรงเหวี่ยงของโรเตอร์เคลือบดำฉลุโปร่งคล้ายล้อแม็กของรถแข่ง พร้อมระบุข้อความสลัก ‘Cal.Heuer 02’ และ ‘Swiss Made’ (สวิส เมด) ในสีที่แตกต่างกันตามคอนเซ็ปต์ของแต่ละรุ่น

 

Monaco Chronograph Skeleton ทุกแบบประกอบกับสายยางบุผิวหน้าด้วยหนังวัว แตกต่างกันที่สีสันเพื่อให้เข้ากับการตกแต่งของแต่ละรุ่น โดยกำหนดราคาสำหรับรุ่น ‘Original Blue’ และ ‘Racing Red’ ที่ 10,500 ฟรังก์สวิส คิดเป็นเงินไทยราว 410,000 บาท ส่วนรุ่น ‘Turquoise’ ราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 11,000 ฟรังก์สวิส หรือราว 430,000 บาท โดยเป็นการผลิตในไลน์ปกติทั้งหมด ไม่ได้จำกัดจำนวนแต่อย่างใด

SEIKO JUNE 23 CONTENT RGT