by: ‘TomyTom’
ปี 2020 นี้ Seiko (ไซโก) ยังคงยึดแนวทางวินเทจอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำแห่งโลกนาฬิกาดำน้ำจากแดนตะวันออกด้วยการนำเสนอนาฬิกาดำน้ำ 3 รุ่นใหม่ เพื่อสืบสานตำนานนาฬิกาดำน้ำที่ทางแบรนด์เริ่มผลิตเป็นครั้งแรกในปี 1965 ซึ่งนับระยะเวลาได้ครบ 55 ปีพอดีในปีนี้ โดย 3 รุ่นที่เปิดตัวออกมาใหม่นี้เป็นการนำ 3 รูปแบบนาฬิกาดำน้ำรุ่นสำคัญในอดีต อันได้แก่ 62 MAS 150m ปี 1965 รุ่น Hi-Beat Professional Diver’s 300m (ไฮบีท โปรเฟสชันแนล ไดเวอร์ส 300 เมตร) ปี 1968 และรุ่นทูน่า Professional Diver’s 600m (โปรเฟสชันแนล ไดเวอร์ส 600 เมตร) ปี 1975 มาสร้างขึ้นใหม่ในฐานะนาฬิกา ‘Limited Edition’ (ลิมิเต็ด เอดิชั่น) 3 รุ่นพิเศษด้วยเทคโนโลยีการผลิตแห่งยุคปัจจุบันและวัสดุโลหะชนิดใหม่ โดยเรียกขานเพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแก่รุ่นต้นฉบับว่า Seiko Prospex the 1965 Diver’s Re-creation (ไซโก โพรสเป็กซ์ เดอะ 1965 ไดเวอร์ส รีครีเอชั่น) รหัส SLA037J1, The 1968 Professional Diver’s 300m Re-creation (เดอะ 1968 โปรเฟสชันแนล ไดเวอร์ส 300 เมตร รีครีเอชั่น) รหัส SLA039J1 และ The 1975 Professional Diver’s 600m Re-creation (เดอะ 1975 โปรเฟสชันแนล ไดเวอร์ส 600 เมตร รีครีเอชั่น) รหัส SLA041J1
(จากซ้าย) Hi-Beat Professional Diver’s 300m ปี 1968, 62 MAS 150m ปี 1965, Professional Diver’s 600m ปี 1975 รุ่นต้นฉบับ
(จากซ้าย) Seiko Prospex the 1968 Professional Diver’s 300m Re-creation SLA039J1, The 1965 Diver’s Re-creation SLA037J1, The 1975 Professional Diver’s 600m Re-creation SLA041J1
ความเหนือชั้นของนาฬิกาสุดพิเศษทั้ง 3 รุ่นนี้ก็คือ มีการนำ ‘Ever-brilliant Steel’ (เอเวอร์ บริลเลียนท์ สตีล) สเตนเลสสตีลชนิดใหม่ของ Seiko ซึ่งเป็นเกรดที่มีคุณสมบัติต้านทานการกร่อนจากคลอไรด์ในน้ำทะเลได้ดีกว่าสเตนเลสสตีลทั่วไป และมีสีขาวสุกใสงดงามมาใช้เป็นครั้งแรก (เป็นสเตนเลสสตีลเกรดเดียวกับที่ใช้ในโครงสร้างเรือ และชิ้นส่วนโครงสร้างสิ่งก่อสร้างในทะเล) โดยนำมาใช้สร้างตัวเรือนขนาด 39.9 มิลลิเมตร หนา 14.7 มิลลิเมตร กันน้ำ 200 เมตร ของ 1965 SLA037J1 (ซึ่งกว้างกว่ารุ่นต้นฉบับ 1.9 มิลลิเมตร กันน้ำได้ลึกขึ้นอีก 50 เมตร เคลือบ ‘Super-hard Coating’ (ซูเปอร์ฮาร์ด โคตติง) เพื่อให้สามารถป้องกันการเกิดรอยขีดข่วนได้ดี และใช้เม็ดมะยมแบบเกลียวกับขอบตัวเรือนแบบหมุนได้ทิศทางเดียว) พร้อมภาพโลมาบนฝาหลังเช่นเดียวกับรุ่นต้นฉบับ และตัวเรือนชนิดโมโนบลอกชิ้นเดียวขนาด 44.8 มิลลิเมตร หนา 15.7 มิลลิเมตร กันน้ำ 300 เมตร พร้อมการขัดตกแต่งด้วยเทคนิค ‘Zaratsu’ (ซารัตสึ) ของ 1968 SLA039J1
Seiko Prospex the 1965 Diver’s Re-creation SLA037J1
ส่วนวัสดุที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรือนขนาด 52.4 มิลลิเมตร หนา 17.2 มิลลิเมตร ของ 1975 SLA041J1 นั้น ‘Ever-brilliant Steel’ ถูกนำมาสร้างเป็นขอบตัวเรือน เพราะตัวเรือนชั้นในยังคงใช้เป็นไทเทเนียมชนิดโมโนบล็อกชิ้นเดียว เพื่อให้สอดคล้องกับรุ่นต้นฉบับ ขณะที่ตัวเรือนชิ้นนอกเป็นเซอร์โคเนียเซรามิก ทั้งยังขยายขีดความสามารถในการกันน้ำจาก 600 เมตร ของรุ่นดั้งเดิมมาเป็น 1,000 เมตร ทั้ง 3 รุ่นใช้กระจกหน้าปัดเป็นแซพไฟร์คริสตัล ซึ่ง 1965 SLA037J1 จะเป็นทรงกล่อง รุ่น 1968 SLA039J1 เป็นทรงโค้ง ส่วน 1975 SLA041J1 นั้นเป็นแบบเรียบ โดย 1965 SLA037J1 และ 1968 SLA039J1 จะเคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนไว้ที่ผิวด้านในเพิ่มมาให้ด้วย
Seiko Prospex the 1968 Professional Diver’s 300m Re-creation SLA039J1
หน้าปัดของทั้ง 3 รุ่นใช้เป็นสีเทาอมน้ำเงินเพื่อสื่อถึงสีของน้ำใต้ทะเล ขณะที่ดีไซน์ของหลักชั่วโมงและเข็มชี้ยังคงเป็นเหมือนรุ่นต้นฉบับ และแน่นอนว่ามากับเทคโนโลยีสารเรืองแสง ‘Lumibrite’ (ลูมิไบรต์) สุดสว่างไสวของ Seiko อีกทั้งในรุ่น 1975 SLA041J1 ยังใช้เหล็กบริสุทธิ์มาสร้างเป็นแผ่นหน้าปัด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการต้านทานพลังแม่เหล็กเป็นระดับ 40,000 a/m ส่วนสายที่ติดตั้งมาให้กับทั้ง 3 รุ่นนั้นเป็นซิลิโคนสีน้ำเงินเข้ม แต่เป็นคนละรูปแบบกัน โดย 1965 เป็นลายคล้ายเวเฟอร์ รุ่น 1968 เป็นลายพีระมิด และรุ่น 1975 เป็นสายแบบแอคคอร์เดียน
Seiko Prospex the 1975 Professional Diver’s 600m Re-creation SLA041J1
ทั้ง 3 รุ่นใช้เครื่องขึ้นลานอัตโนมัติ แสดงเวลา 3 เข็ม พร้อมฟังก์ชันวันที่ โดย 1965 SLA037J1 และ 1968 SLA039J1 เป็นเครื่อง ‘Hi-beat’ ความถี่สูงถึง 10 บีท (36,000 ครั้ง/ชั่วโมง) พลังงานสำรอง 55 ชั่วโมง ทับทิม 37 ชิ้น Cal.8L55 ซึ่งมีความเที่ยงตรง +15 ถึง -10 วินาที/วัน ขณะที่ 1975 SLA041J1 เป็นเครื่อง Cal.8L35 ความถี่การทำงาน 8 บีท (28,800 ครั้ง/ชั่วโมง) พลังงานสำรอง 50 ชั่วโมง ทับทิม 26 ชิ้น ซึ่งให้ความเที่ยงตรง +15 ถึง -10 วินาที/วันเช่นกัน
(จากซ้าย) Seiko Prospex the 1965 Diver’s Re-creation SLA037J1, The 1968 Professional Diver’s 300m Re-creation SLA039J1 และ The 1975 Professional Diver’s 600m Re-creation SLA041J1 ผลิตจำนวนจำกัดรุ่นละ 1,100 เรือน
Seiko สร้างทั้ง 3 รุ่นนี้ในแบบ ‘Limited Edition’ ผลิตจำนวนจำกัดรุ่นละ 1,100 เรือน บ่งบอกตัวตนด้วยหมายเลขประจำเรือนทางด้านหลัง โดยตั้งราคารุ่น 1965 SLA037J1 ไว้ที่ 6,500 ยูโร หรือราว 240,000 บาท รุ่น 1968 SLA039J1 ที่ 7,000 ยูโร หรือราว 260,000 บาท และรุ่น 1975 SLA041J1 ที่ 4,500 ยูโร หรือราว 167,000 บาท ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน ไล่เรียงไปทีละรุ่นตามลำดับ แต่ในเดือนพฤษภาคมจะมีเซตที่รวมทั้ง 3 รุ่นไว้ในหีบบรรจุที่สร้างพิเศษ พร้อมสายยางสีดำเพิ่มมาให้สลับใช้งานอีกรุ่นละเส้นออกมาจำหน่ายก่อน 100 ชุด ซึ่งต้องแลกมาด้วยเงินเกือบ 650,000 บาท
บ็อกซ์เซต รวม 3 รุ่นไว้ในกล่องเดียว จำกัดจำนวนไว้เพียง 100 ชุดเท่านั้น