by: ‘Mr.Big’
ซีรีย์ Blast (บลาสต์) คือคอลเลกชั่นที่ Ulysse Nardin (ยูลิส นาร์แดง) สถาปนาขึ้นใหม่ในปี 2020 โดยมีเอกลักษณ์อยู่ที่ตัวเรือนดีไซน์ใหม่ ซึ่งมอบความประทับใจด้วยรูปลักษณ์ที่เกิดจากการประสานรวมของรูปทรงเรขาคณิตที่เฉียบคม ให้อารมณ์ทันสมัยล้ำยุค อันได้แรงบันดาลใจมาจากลักษณะโครงสร้างแบบ ‘Stealth’ (สเตลธ์) ที่มักพบอยู่ในเครื่องบินหรือเรือรบสมัยใหม่ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการหลีกเลี่ยงการตรวจจับของเรดาร์ โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา Ulysse Nardin ก็ได้ผสานความเหนือล้ำของเทคโนโลยีเข้าไปในคอลเลกชั่นนี้มาแล้วหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอโครงสร้างหน้าปัดแบบ ‘Skeleton’ (สเกเลตัน) การโชว์จักรกลทูร์บิญอง รวมถึงการผสานฟังก์ชันทางดาราศาสตร์อันซับซ้อนเข้าไว้ด้วยกันอย่างไม่น่าเชื่อ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ Ulysse Nardin ผสานความเหนือล้ำขั้นสูงทางด้านเทคโนโลยีในแบบที่ไม่ธรรมดาให้กับ Blast โดยจัดมาควบคู่กับงานศิลปะสอดประสานเข้ากันอย่างกลมกลืนในรุ่น Blast Free Wheel Marquetry (บลาสต์ ฟรี วีล มาร์เกวทรี)
เรือนเวลารุ่นนี้ถูกนำเสนอมาพร้อมกับความงดงามแบบแหวกแนวของผืนหน้าปัด ที่เกิดขึ้นจากเทคนิคงานฝีมือที่เรียกว่า ‘Marquetry’ ซึ่งเดิมทีงานฝีมือชนิดนี้คือการต่อแผ่นไม้ หรือชิ้นวัสดุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมุก หรือหนัง ชิ้นเล็กๆ จนเกิดเป็นลวดลายต่างๆ ที่สวยงาม ซึ่ง Ulysse Nardin ได้ประยุกต์งานฝีมือดังกล่าวมาใช้ โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการสร้างสรรค์หน้าปัดโดยใช้เทคนิคงานฝีมือด้านศิลปะหรือ ‘Métiers d’Art’ (เมติเยร์ ดาร์ท) กับคอลเลกชั่นนี้ โดยนำแผ่นซิลิกอนสีน้ำเงินแวววาวที่มีเฉดแตกต่างกัน 2 ระดับ ภายใต้ความหนาที่แตกต่างกันคือ 0.30 มิลลิเมตร และ 0.35 มิลลิเมตร จำนวนกว่า 103 ชิ้น มาตัดเป็นชิ้นเรขาคณิตขนาดจิ๋ว และประติดประต่อเข้าด้วยกันอย่างประณีตบรรจงด้วยความชำนาญเป็นอย่างสูง จนแนบสนิทไร้ช่องว่างบนฐานหน้าปัดและชุดเกียร์ คล้ายกับการต่อจิ๊กซอว์ โดยไม่ให้เกิดรอยยับหรือการแตกหัก เกิดเป็นหน้าปัดสีน้ำเงินที่สดใสแวววาวใน 2 เฉด สวยงามสดใสคล้ายกับงานโมเสก และสร้างคอนทราสต์สะท้อนรับกันอย่างมีมิติ
ความงดงามในมิติของสีน้ำเงินที่เกิดจากเทคนิคทางศิลปะชั้นสูง ถูกนำเสนอควบคู่ไปกับความเหนือชั้นของงานวิศวกรรมเวลา กลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) ไขลานทูร์บิญอง Cal.UN-176 ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2020 ถูกนำมาสร้างสรรค์ด้วยจุดเด่นที่ชุดเกียร์บางชุดถูกประกอบให้ดูประหนึ่งลอยตัวอยู่บนหน้าปัดในรูปแบบที่เรียกว่า ‘Free Wheel’ สามารถมองเห็นชุดกรง ‘Flying Tourbillon’ (ฟลายอิง ทูร์บิญอง) ที่ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วน 45 ชิ้น พร้อมระบบปล่อยจักร ‘Ulysse Anchor Constant Escapement’ (ยูลิส แองเคอร์ คอนสแตนท์ เอสเคปเมนต์) ที่ติดตั้งอยู่ภายในโครงทรงกลมที่รองรับส้อมพาเลทตรงกลาง และสร้างความเสถียรด้วยสปริงเบลด 2 ตัว ที่มีความหนาเท่ากับ 1/10 ของเส้นผมมนุษย์ กับชุดปล่อยจักร ‘Silicium’ (ซิลิเซียม) ที่นำมาทำทั้งจักรเหล็ก ก้ามปู และสายใยจักรกลอก ติดตั้งในแนวตั้งฉากกับพื้นหน้าปัดอย่างน่าอัศจรรย์
นอกจากนี้ยังโชว์องค์ประกอบอื่นๆ ซึ่งจัดแสดงแบบลอยตัวท้าทายแรงดึงดูดเช่นกัน โดยติดตั้งกระจายไปในตำแหน่งที่แตกต่างกัน โดยชุดเกียร์ขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยแผ่นซิลิกอนสีน้ำเงินตำแหน่ง 12 นาฬิกา คือตลับลานที่สามารถเก็บกักพลังงานสำรองได้นานถึง 7 วัน ซึ่งจะมีล้อกลางเชื่อมต่อไปยังชุดเกียร์ทดทางฝั่งซ้าย ขณะที่ทางฝั่งขวาบริเวณ 3 นาฬิกา นั้นติดตั้งชุดเกียร์สำหรับการขึ้นลาน ซึ่งเชื่อมต่อกับก้านกรอของเม็ดมะยมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแผ่นหน้าปัดที่ยกตัวขึ้นมา และมีตัวแสดงค่าพลังงานคงเหลือที่ระบุค่าด้วยแถบเส้นสูงสุด 3 เส้น แทนพลังงานที่เก็บกักไว้ในระดับสูงสุด โดยติดตั้งบริเวณตำแหน่ง 4 นาฬิกา รวมชิ้นส่วนทั้งหมดทั้งมวลที่นำมาประกอบเป็นกลไกชุดนี้ได้ 249 ชิ้น ใช้ทับทิมกันสึก 23 เม็ด สร้างความถี่ในการทำงานที่ 18,000 ครั้ง/ชั่วโมง แสดงเวลาแบบ 2 เข็ม ด้วยเข็มที่ออกแบบมาอย่างทันสมัย และเคลือบสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) เป็น 2 ช่วง
ความมหัศจรรย์แห่งงานวิศวกรรมจักรกลและงานศิลปะที่อยู่ในเรือนเวลารุ่นนี้ จัดมาให้สามารถชื่นชมในแบบ 3 มิติ ผ่านกระจกหน้าปัดคริสตัลแซพไฟร์ที่วางประกบกับฐานแซพไฟร์ที่ทำเป็นขอบข้างตัวเรือน ทำให้มองเห็นจักรกลแบบลอยตัว รวมถึงพื้นหน้าปัดจากมุมมองด้านข้างได้ด้วย ขณะที่ด้านหลังก็ประกบด้วยแผ่นคริสตัลแซพไฟร์ เผยชุดแท่นเครื่องที่ประทับด้วยแผ่นซิลิกอนสีน้ำเงินใน 2 เฉดสี ส่วนฐานตัวเรือนมีขนาด 45.0 มิลลิเมตร นั้นผลิตจากทองขาว 18K ในดีไซน์ทันสมัย โดดเด่นด้วยเหลี่ยมสันเชิงเรขาคณิต ร่วมกับขาตัวเรือนแบบ 2 ร่อง ผสานงานขัดแต่งแบบขัดเงาสลับปัดด้าน กันน้ำได้ 30 เมตร ประกอบกับสายที่มีมาให้ 3 ทางเลือก ได้แก่สายยางบุหนังจระเข้ สายยางกันน้ำลายกำมะหยี่สีน้ำเงิน หรือสายหนังจระเข้สีน้ำเงิน พร้อมตัวล็อกสายแบบหัวเข็มขัดที่ผลิตจากทองขาว 18K โดยสายทุกแบบสามารถนำไปประกอบกับคอลเลกชั่น Blast รุ่นอื่นๆ ได้เช่นกัน นักสะสมที่สนใจ สามารถเป็นเจ้าของได้ที่ราคา 4,908,000 บาท