by: ‘TomyTom’
Ulysse Nardin (ยูลิส นาร์แดง) เผยโฉมเวอร์ชั่นใหม่ด้วยความตระการตาในรูปแบบอัญมณีสายรุ้งให้กับ 2 รุ่นดัง หนึ่งชาย หนึ่งหญิง ที่ผลิตขึ้นแบบ ‘Limited Edition’ (ลิมิเต็ด เอดิชั่น) ได้แก่ Blast Tourbillon 45 mm Rainbow (บลาสต์ ทูร์บิญอง 45 เอ็มเอ็ม เรนโบว์) และ Lady Diver 39 mm Rainbow (เลดี ไดเวอร์ 39 เอ็มเอ็ม เรนโบว์) โดยได้แรงบันดาลใจมาจากลักษณะสีรุ้งของวัสดุ ‘Silicium’ (ซิลิเซียม) ที่ใช้สร้างชิ้นส่วนกลไกของทั้ง 2 รุ่น และเป็นวัสดุที่รับรู้โดยทั่วกันว่า Ulysse Nardin เป็นผู้บุกเบิกในการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมนาฬิกา
การแต่งแต้มสายรุ้งลงบนนาฬิกาทั้ง 2 รุ่น กระทำด้วยการประดับอัญมณีในโทนสีม่วง เขียว ฟ้า และชมพู อ่อนเข้มหลากเฉดลงบนขอบตัวเรือน เพื่อแสดงถึงความงามแห่งสีสันของปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ชวนหลงใหล ส่วนลักษณะอื่นๆ ของนาฬิกายังคงเป็นไปตามรูปแบบของคอลเลกชั่นแห่งตนทุกประการ
Blast Tourbillon นั้นโดดเด่นด้วยโครงหน้าปัด ‘Skeleton’ (สเกเลตัน) เชิงเส้นเรขาคณิตอันซับซ้อนที่ออกแบบเป็นลักษณะอักษร ‘X’ บรรจุในตัวเรือนขนาด 45.0 มิลลิเมตร กันน้ำได้ 50 เมตร เพื่อให้มองเห็นกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) แบบ ‘Skeleton’ จำนวนทับทิม 25 ชิ้น ความถี่การทำงาน 18,000 ครั้ง/ชั่วโมง Cal.UN-172 ขึ้นลานอัตโนมัติสู่ตลับลานที่เก็บพลังงานได้ 72 ชั่วโมง ด้วยโรเตอร์แพลทินัมเคลือบดำขนาดเล็ก ซึ่งเห็นเด่นอยู่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ทางฝั่งด้านหน้า บอกเวลาอย่างเที่ยงตรงด้วยจักรกล ‘Flying Tourbillon’ (ฟลายอิง ทูร์บิญอง) ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ร่วมกับความยอดเยี่ยมของการปลอดผลกระทบจากสนามแม่เหล็ก และเปี่ยมด้วยความทนทาน ลดภาระในการบำรุงรักษาจากเทคโนโลยี ‘Silicium’ ที่นำมาสร้างเป็นจักรเหล็ก แองเคอร์ และสายใยจักรกลอก
ความงามอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Blast Tourbillon 45 mm Rainbow นี้ถูกขับเน้นด้วยการใช้ตัวเรือนชิ้นกลางเป็นไทเทเนียมเคลือบดำด้วยเทคนิค DLC ร่วมกับตัวเรือนชิ้นบนที่ทำจากเซรามิกสีดำผิวขัดเงาสลับพ่นทราย กับฝาหลังไทเทเนียมเคลือบดำด้วยเทคนิค DLC กรุคริสตัลแซพไฟร์ โครงหน้าปัดและเข็มสีดำเคลือบสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) สีขาวบนเข็มทั้ง 2 ขณะที่หลักชั่วโมงทั้ง 12 เป็นแซพไฟร์และทับทิมทรง ‘Baguette’ (บาแกตต์) หลากสี น้ำหนักรวม 1.58 กะรัต สอดคล้องกับตำแหน่งสีของอัญมณีทรง ‘Baguette’ อันประกอบด้วย แซพไฟร์สีส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ม่วง และชมพู และทับทิมสีแดง บนขอบตัวเรือนสเตนเลสสตีลเคลือบดำด้วยเทคนิค DLC โดยมีจำนวนอัญมณีทั้งหมดถึง 38 เม็ด รวมน้ำหนักได้ 3.65 กะรัต จับคู่มากับสายยางสีดำหรือสายหนังจระเข้สีดำที่ล็อกด้วยตัวล็อกไทเทเนียมเคลือบดำด้วยเทคนิค DLC ประกอบกับเซรามิกสีดำ โดยเป็นงานผลิตแบบ ‘Limited Edition’ ที่จำกัดจำนวนการผลิตเอาไว้แค่ 50 เรือน กำหนดราคาจำหน่ายไว้ที่ 85,000 ฟรังก์สวิส หรือราว 3.181 ล้านบาท
สำหรับ Lady Diver 39 mm Rainbow นั้น Ulysse Nardin สร้างสรรค์ขึ้นมา 2 เวอร์ชั่นด้วยกันคือ Rainbow White (เรนโบว์ ไวท์) โทนขาวกระจ่าง และ Rainbow Black (เรนโบว์ แบล็ก) สีดำขรึม แน่นอนว่าถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Lady Diver นาฬิกาดำน้ำสำหรับผู้หญิงเจเนอเรชั่นล่าสุดที่เพิ่งออกมาเมื่อ ค.ศ. 2019 ในตัวเรือนขนาด 39.0 มิลลิเมตร สามารถกันน้ำได้ถึง 300 เมตร สำหรับจำนวนแซพไฟร์สีส้ม เหลือง น้ำเงิน ม่วง และชมพู อความารีนสีฟ้าอ่อน โทปาซสีฟ้าลอนดอน ซาโวไรต์สีเขียว อเมธิสต์สีม่วง และทับทิมสีแดง ที่ถูกประดับอยู่บนแผ่นวงแหวนสเตนเลสสตีลทับด้วยคริสตัลแซพไฟร์ทรงโค้งของขอบตัวเรือนชนิดหมุนได้ทิศทางเดียวของ 2 เวอร์ชั่น มีจำนวนรวมทั้งหมด 40 เม็ด ด้วยกัน โดยรวมน้ำหนักได้ 1.04 กะรัต ขณะที่หลักชั่วโมงถูกประดับแทนด้วยเพชร 11 เม็ด ใน 11 ตำแหน่ง รวมน้ำหนักได้ 0.12 กะรัต โดยเว้นเพียงตำแหน่ง 12 นาฬิกา ให้เป็นแท่งหลักชั่วโมงเคลือบโรเดียมพร้อมแถบสารเรืองแสงสีขาว ‘Super-LumiNova’ สีขาวเพื่อรักษาลุคนาฬิกาดำน้ำร่วมกับสารเรืองแสงสีขาวในหมุดกลมตำแหน่ง 12 นาฬิกา บนขอบตัวเรือนและบนเข็มเคลือบโรเดียมทั้ง 3
ตัวเรือนและขอบตัวเรือนของเวอร์ชั่น Rainbow White เป็นสเตนเลสสตีลขัดเงา พร้อมหน้าปัดสีเงิน และสายยางสีขาวหรือสายหนังจระเข้สีขาว พร้อมตัวล็อกหัวเข็มขัดสเตนเลสสตีล ขณะที่เวอร์ชั่น Rainbow Black นั้นจะเคลือบสเตนเลสสตีลเป็นสีดำ แต่เม็ดมะยมและฝาหลังยังคงเป็นสเตนเลสสตีลสีเงิน และมาคู่กับหน้าปัดสีดำร่วมกับสายยางสีดำหรือสายหนังจระเข้สีดำเดินด้ายสีขาว โดยมีตัวล็อกเป็นหัวเข็มขัดเซรามิกสีดำ
เครื่องที่ใช้กับ Lady Diver 39 mm เป็นกลไกอัตโนมัติ ความถี่การทำงาน 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง จำนวนทับทิม 19 ชิ้น Cal.UN-816 บอกเวลา 3 เข็มพร้อมฟังก์ชันวันที่ ซึ่งใช้ ‘Silicium’ กับจักรเหล็กและแองเคอร์ โดยทั้ง 2 เวอร์ชั่นเป็นงานผลิตแบบ ‘Limited Edition’ ที่จำกัดจำนวนการผลิตไว้แค่เวอร์ชั่นละ 300 เรือน ราคาจำหน่ายถูกกำหนดไว้เท่ากันที่ 12,900 ฟรังก์สวิส หรือราว 483,000 บาท