HOME HEADER
HOME HEADER
Home Articles URWERK UR-102 RELOADED - เจาะเวลาหาปี 1997

URWERK UR-102 RELOADED – เจาะเวลาหาปี 1997

by: ‘TomyTom’

 

แบรนด์ Urwerk (อัวร์แวร์ก) ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในรูปบริษัทเมื่อปี 1997 และนำเสนอนาฬิกา 2 แบบแรกของตน ได้แก่ UR-101 (ยูอาร์วันโอวัน) และ UR-102 (ยูอาร์วันโอทู) สู่สายตาสาธารณชนที่งาน ‘BaselWorld’ (บาเซิลเวิลด์) ในปีเดียวกัน บัดนี้ 1 ใน 2 รุ่นนั้น ได้แก่ UR-102 ได้ถูกนำกลับมาผลิตใหม่อีกครั้ง โดยให้ชื่อว่า UR-102 Reloaded (ยูอาร์วันโอทู รีโลเด็ด) ด้วย 2 เวอร์ชั่น กับการผลิตแบบ ‘Limited Edition’ (ลิมิเต็ด เอดิชั่น) จำนวนจำกัด จำหน่ายแบบเป็นเซตคู่ 2 เรือน ไม่แยกขาย เพียง 25 ชุดเท่านั้น

MITSUBISHI

 

การเปิดตัวแบรนด์ด้วยนาฬิกาที่แสดงเวลาแบบชั่วโมงจร ‘Wandering Hours’ (วันเดอริง อาวร์ส) เมื่อปี 1997 เป็นอะไรที่แปลกแยกจากนาฬิกาทั่วไปในยุคนั้นไม่น้อย ทั้งยังมีรูปโฉมที่ออกแนววินเทจเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์ไซ-ไฟยุคอดีตอีกต่างหาก ทั้งดีไซน์ตัวเรือนและช่องหน้าต่างแนวครึ่งวงกลมที่อยู่ด้านบนตัวเรือน ซึ่งอันที่จริงแล้วการแสดงเวลาแบบชั่วโมงจรเช่นนี้เป็นสิ่งที่นักประดิษฐ์นาฬิกาในอดีตคิดค้นขึ้นมาก่อนแล้ว ซึ่งในรุ่นต่อๆ มา Urwerk ก็ได้ทำการพัฒนารูปแบบของการแสดงเวลาแบบชั่วโมงจรให้ดูทันยุคทันสมัย ไปจนถึงล้ำยุคล้ำสมัย แล้วให้ชื่อว่ารูปแบบ ‘UR-Satellite’ (ยูอาร์ แซเทลไลท์) และออกมารุ่นแล้วรุ่นเล่ากระทั่งปัจจุบัน ในรูปลักษณ์ที่ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยตามแต่จินตนาการและความสามารถของนักออกแบบและนักประดิษฐ์นาฬิกา ซึ่งหัวเรือใหญ่ก็ยังคงเป็น Martin Frei (มาร์ติน เฟรย์) ผู้ออกแบบ และ Felix Baumgartner (เฟลิกซ์ โบมการ์ทเนอร์) นักประดิษฐ์นาฬิกา 2 ผู้ก่อตั้งแบรนด์เหมือนเมื่อแรกเริ่ม และการที่ทั้งคู่ตัดสินใจนำ UR-102 จากปี 1997 กลับมาผลิตขึ้นใหม่ในแบบ ‘Re-edition’ (รีเอดิชั่น) ก็สร้างความปรารถนาให้กับผู้ชื่นชอบนาฬิกาทั่วโลกได้ในทันที่

 

ดีไซน์นาฬิกาเรือนกลมมนคล้ายก้อนกรวด แบบที่เรียกว่าแนว ‘Neo-futuristic Look’ (นีโอฟิวเจอริสติก ลุค) ของ UR-102 รุ่นดั้งเดิมยังคงมาเต็ม รวมถึงช่องกระจกแนวครึ่งวงกลมที่อยู่ด้านบนด้วย แต่มีการปรับเปลี่ยนบ้างในรายละเอียดเพื่อให้ดูประณีตและร่วมสมัยยิ่งขึ้น เช่น ขนาดของตัวเรือน 38.0 มิลลิเมตร ของรุ่นดั้งเดิม มาเป็น 41.0 มิลลิเมตร กับความหนา 11.3 มิลลิเมตร ซึ่งก็ยังไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักสำหรับยุคปัจจุบัน และเม็ดมะยมที่ถูกฝังบางส่วนเข้าไปในพื้นที่ของตัวเรือน และย้ายมาอยู่ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา ดีไซน์ขาตัวเรือนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีแนวเส้นสันที่เหลี่ยมคม และมีขนาดกับองศาที่รับกับข้อมือดีกว่ารุ่นดั้งเดิม แต่ในภาพรวมก็ถือว่ารักษารูปแบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี แถมยังดูทันสมัยยิ่งขึ้นด้วย

 

ตัวเรือนผิวทรายกันน้ำได้ 30 เมตร ของทั้ง 2 เวอร์ชั่น ประกอบด้วยชิ้นส่วนตัวเรือนที่ทำจากไทเทเนียม และฝาหลังสเตนเลสสตีล หากแต่หนึ่งเป็นเวอร์ชั่น ‘Titanium’ (ไทเทเนียม) ปกติ และอีกหนึ่งเป็นเวอร์ชั่น ‘Black’ (แบล็ก) เรือนสีดำที่เคลือบทั้งตัวเรือนและฝาหลังด้วยเทคนิค PVD กรอบหน้าต่างกรุแซพไฟร์คริสตัล ยังคงคล้ายแบบดั้งเดิมหากแต่ส่วนปลายจะมีแนวลาดเทมากขึ้น ซึ่งทำให้ดูทันสมัยกว่าเดิม รวมถึงลักษณะของช่องหน้าต่างชั่วโมงทรงรีในแนวนอน หากแต่พื้นวงเคลื่อนของชุดบอกชั่วโมงมีการสลักข้อความลงสีขาวเป็นประโยคเด็ดๆ ไว้ 2 บรรทัด และสเกลนาทีที่สลักและทาสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) สีขาวด้วยมือก็ซอยแบ่งถี่กว่าก่อนเก่า และมีเลขกำกับไว้ทุก 15 นาที เพื่อให้อ่านค่าได้ง่ายขึ้น ซึ่งเวอร์ชั่นไทเทเนียมดิบๆ ใช้พื้นสีน้ำเงินผิวปัดลายซาตินทั้งหมด รวมถึงใช้สีน้ำเงินกับพื้นหลังของเลขชั่วโมงที่ทาสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ สีขาวด้วยมือด้วย ขณะที่เวอร์ชั่นไทเทเนียมสีดำจะใช้พื้นสีดำผิวปัดลายซาติน และใช้สีดำกับพื้นหลังของเลขชั่วโมง ซึ่งเอาเข้าจริงทั้ง 2 ชุด สีของพื้นหลังในช่องแสดงค่าและสีของตัวเรือนก็เป็นรูปแบบที่มีใช้อยู่ในรุ่นดั้งเดิมอยู่แล้ว ส่วนตราสัญลักษณ์ชื่อแบรนด์ที่เป็นฟอนต์เอียงหนาก็ยังคงสลักไว้ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา บนตัวเรือนเหมือนเดิม ส่วนสายที่ติดตั้งมาเป็นวัสดุยางที่ปั๊มผิวเป็นลาย ‘Baltimore-quilt’ (บัลติมอร์ควิลท์) หรือเนื้อผ้าที่ทอแบบผ้าห่มสไตล์ ‘Baltimore’ สีขาวสำหรับเวอร์ชั่น ‘Titanium’ และสีดำสำหรับเวอร์ชั่น ‘Black’ ล็อกด้วยตัวล็อกหัวเข็มขัดไทเทเนียมเนื้อละเอียด และพ่นทรายก่อนเคลือบสีดำด้วยเทคนิค PVD สำหรับเวอร์ชั่น ‘Black’

 

ภายในตัวเรือนดีไซน์ขลังบรรจุไว้ด้วยกลไกอัตโนมัติ ความถี่การทำงาน 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง ที่ให้พลังงานสำรอง 48 ชั่วโมง (มิได้บอกกล่าวว่าเป็นกลไกของผู้ผลิตรายใด แต่สื่อบางสำนักบอกว่าเป็นของ ETA) ซึ่งนำมาปรับแต่งให้สามารถติดตั้งโมดูล ‘Wandering Hours’ ที่เป็นงานผลิตแบบ ‘In-house’ (อินเฮาส์) ของ Urwerk สำหรับการแสดงค่าแบบชั่วโมงจร ให้ทราบเวลาเป็นชั่วโมงกับนาทีเข้าไปที่ด้านบนของเครื่องฐานได้ ส่วนจำนวนทับทิมทั้งหมดแจ้งไว้ที่ 25 ชิ้น รวมให้ชื่อว่า Cal.2.02

 

Urwerk UR-102 Reloaded แพ็กคู่ 2 เวอร์ชั่น ‘Titanium’ และ ‘Black’ บรรจุมาในกล่องที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 25 ชุด ซึ่งหมายความว่าตัวนาฬิกานั้นถูกผลิตขึ้นแบบจำนวนจำกัดเวอร์ชั่นละ 25 เรือนนั่นเอง ราคาจำหน่ายกำหนดไว้ที่ 56,000 ฟรังก์สวิส หรือราว 2.087 ล้านบาทต่อชุด ซึ่งยังไม่รวมภาษีขาย

SEIKO MAY 23 CONTENT RGT