by: ‘Mr.Big’
หลังจากที่ Zenith (เซนิธ) ในฐานะแบรนด์พันธมิตรผู้ก่อตั้งและผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการของการแข่งขันแรลลี่รถออฟโรดพลังงานไฟฟ้าเวิลด์ทัวร์ รายการ ‘Extreme E’ (เอ็กซ์ตรีม อี) ได้เผยโฉมรุ่นพิเศษ Defy Extreme E ‘Desert X Prix’ (ดีฟาย เอ็กซ์ตรีม อี ‘เดสเสิร์ท เอ็กซ์ ปรีซ์’) พร้อมกับการแข่งขันในสนามแรก และสนามที่ 2 ในช่วงไตรมาสที่ 1 และที่ 2 ของปีกันไปแล้ว ล่าสุดกับการชิงชัยในสนามที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นในทะเลทราย ‘Atacama’ (อตาคามา) บริเวณเขตอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองแดง ประเทศชิลี ในระหว่างวันที่ 24-25 กันยายนที่ผ่านมา โดยสนามนี้นับเป็นภูมิภาคในส่วนที่ไม่ใช่ขั้วโลกที่แห้งแล้งที่สุดในโลก โดยเหตุผลหนึ่งที่ ‘Extreme E’ เลือกให้ทะเลทราย ‘Atacama’ เป็นสนามแข่งลำดับที่ 3 เนื่องจากต้องการให้ผู้คนเห็นความสำคัญในการทำเหมืองทองแดง ซึ่งมีการทำอย่างแพร่หลายในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าต้องพึ่งพาทองแดงเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ใช้ในการผลิตเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นในการชาร์จแบตเตอรี่ด้วย ‘Extreme E’ จึงตั้งเป้าที่จะเน้นย้ำถึงการพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนร่วมกับ ‘Antofagasta Minerals’ (แอนโตฟากาสตา มิเนอรัลส์) ซึ่งเป็นองค์กรเหมืองแร่ของชิลี และเป็นหนึ่งในพันธมิตรของการแข่งขันในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไปในเชิงบวก และหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด
สำหรับเรือนเวลาที่เป็นตัวแทนของการแข่งขัน ‘Extreme E’ ในสนามที่ 3 นี้ก็คือ Defy Extreme E ‘Copper X Prix’ (ดีฟาย เอ็กซ์ตรีม อี ‘คอปเปอร์ เอ็กซ์ ปรีซ์’) ที่ยังคงจำกัดจำนวนผลิตไว้แค่ 20 เรือน เหมือน 2 รุ่น ที่ผ่านมา นำเสนอมาพร้อมแรงบันดาลใจจากโลกมอเตอร์สปอร์ตเอ็กซ์ตรีม ซึ่งถูกออกแบบเพื่อใช้ในสนามแข่งออฟโรดที่น่าตื่นเต้นของแรลลี่ไฟฟ้าในสภาพแวดล้อมสุดโหด ภายใต้พื้นฐานจากรุ่น Defy Extreme Carbon (ดีฟาย เอ็กซ์ตรีม คาร์บอน) นำมาปรับปรุงโดยเพิ่มอารมณ์ดุและดิบให้มากขึ้น ตัวเรือนสร้างสรรค์จากคาร์บอนสลับไทเทเนียมที่ขัดผิวแบบไมโครบลาสเตด มอบน้ำหนักที่เบาสบาย แม้จะมีขนาดตัวเรือนถึง 45.0 มิลลิเมตร ก็ตาม ทั้งยังมีประสิทธิภาพความทนทานในระดับสูง รวมถึงมอบความสามารถในการกันน้ำที่มากถึง 200 เมตร แม้จะเป็นนาฬิกาสปอร์ตที่ออกแบบมาสำหรับกีฬาทางบกก็ตาม ส่วนกระจกหน้าปัดที่กรุเป็นคริสตัลแซพไฟร์
หน้าปัดถูกรังสรรค์ในลักษณะ ‘Open-worked’ (โอเพนเวิร์กด์) ที่เผยให้เห็นองค์ประกอบของจักรกลภายในผ่านแผ่นแซพไฟร์แบบใสและย้อมสี พร้อมการจัดวางองค์ประกอบแบบหลายเลเยอร์เพื่อสร้างมิติ ขอบหน้าปัดชั้นนอกติดตั้งวงแหวนสีดำที่ตกแต่งด้วยสเกล 0-100 สำหรับระบุค่าจับเวลาที่มีความละเอียดถึง 1/100 วินาที ด้วยเข็มวินาทีชุดหลัก ต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที โดยสัมพันธ์กับการแสดงค่าบนหน้าปัดย่อยตำแหน่ง 3 และ 6 นาฬิกา ในขณะที่การแสดงเวลาปกติเป็นไปในรูปแบบ 2 เข็มครึ่ง ซึ่งแยกค่าวินาทีออกมาไว้บนหน้าปัดย่อยตำแหน่ง 9 นาฬิกา และเสริมด้วยเข็มระบุค่าพลังงานสำรองของฟังก์ชันจับเวลาแบบเข็มกวาดบริเวณใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา พร้อมกันนี้ยังเคลือบสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) เกรด ‘SLN C1’ บนหลักชั่วโมงและเข็มชี้ที่เคลือบด้วยโรเดียม โดยรายละเอียดต่างๆ บนหน้าปัด ไม่ว่าจะเป็นเส้นสเกลหรือตัวเลขถูกนำเสนอในสีน้ำตาลทองแดง อันชวนให้นึกถึงภูมิประเทศแห้งแล้งที่เต็มไปด้วยฝุ่นทราย หิน และเหมืองทองแดงของทะเลทราย ‘Atacama’
แน่นอนว่าความยอดเยี่ยมนี้ถูกขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) ออโตเมติกโครโนกราฟ Cal.El Primero 9004 ดีกรีมาตรฐานความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ โดยแยกชุดจักรกลอกออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกทำงานด้วยความถี่ 36,000 ครั้ง/ชั่วโมง สำหรับการแสดงเวลาปกติ และอีกชุดหนึ่งทำงานที่ความถี่สูงถึง 360,000 ครั้ง/ชั่วโมง หรือ 50 เฮิรตซ์ ส่งผลให้ฟังก์ชันโครโนกราฟสามารถแสดงค่าได้ละเอียดถึง 1/100 วินาที ทั้งยังสามารถสำรองพลังงานได้ยาวนาน 50 ชั่วโมง ฝาหลังกรุด้วยคริสตัลแซพไฟร์ เผยให้เห็นชุดจักรกลที่ได้รับการเคลือบเป็นสีเข้มและโรเตอร์ขึ้นลานที่ฉลุเป็นรูปดาว หน้าแผ่นคริสตัลประทับด้วยโลโก้ ‘Copper X Prix’ ของการแข่งขันในสนามที่ 3
ในส่วนของสาย ยังคงรังสรรค์ภายใต้คอนเซปต์รักษ์โลก กับสายผ้าเวลโครสีน้ำตาลทองแดงที่ผสานด้วยวัสดุที่อัพไซเคิลมาจากเศษชิ้นส่วนของยางรถยนต์ ‘Continental’ (คอนติเนนตัล) ที่ใช้แข่งขันในสนามที่ผ่านๆ มา ตัวล็อกแบบหัวเข็มขัดผลิตจากไทเทเนียมขัดผิวแบบไมโครบลาสเตด พร้อมระบบถอดเปลี่ยนสายที่ง่ายดายเพียงแค่กดปุ่มที่อยู่ด้านหลังตัวเรือน พร้อมกล่องบรรจุกันน้ำและกันกระแทก เพื่อให้สมกับสภาพแวดล้อมอันหฤโหดของการแข่งขัน ผสานด้วยองค์ประกอบรีไซเคิลและอัพไซเคิลต่างๆ ที่ได้จากการแข่งขันในสนามแรก จัดจำหน่ายในแบบ ‘Boutique Edition’ (บูติก เอดิชั่น) กับราคาซึ่งตั้งเอาไว้เท่ากับรุ่นที่ผ่านมาคือ 26,900 ฟรังก์สวิส หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท