by: ‘Mr.Big’
‘Extreme E’ (เอ็กซ์ตรีม อี) คือรายการแข่งขันแรลลี่รถออฟโรดระดับนานาชาติที่ FIA ให้การรับรอง โดยใช้พาหนะเป็นรถยนต์ SUV ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ออกแบบมาเฉพาะเพื่อใช้ในการแข่งขันในพื้นที่ทุรกันดารหรือที่ห่างไกลของโลก เช่น ทะเลทราย ป่าดงดิบ หรือทุ่งน้ำแข็ง โดยสถานที่แข่งขันทั้งหมดได้รับการคัดเลือกเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก รวมถึงให้การสนับสนุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมสำหรับสถานที่ที่ได้รับการคัดเลือกเหล่านั้น และยังเป็นการแข่งขันที่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ โดยกำหนดให้ทุกทีมประกอบด้วยนักแข่งหญิงและชายที่ต้องแบ่งหน้าที่ขับรถอย่างเท่าเทียมกัน
และในปี 2022 ถือเป็นฤดูกาลที่ 2 สำหรับการแข่งขัน ‘Extreme E’ ซึ่งทางผู้จัดได้วางการแข่งขันสำหรับปีนี้เอาไว้ 5 สนาม จากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เริ่มจากรายการแรก ‘Desert X Prix’ (เดเสิร์ท เอ็กซ์ ปรีซ์) ที่จัดขึ้นไปในวันที่ 18-20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ พื้นที่ทะเลทรายของเมืองนีโอม (Neom) ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งในโอกาสเดียวกันนี้ Zenith (เซนิธ) ในฐานะพันธมิตรผู้ก่อตั้งและผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการ จึงสร้างสรรค์นาฬิการุ่นพิเศษเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับการแข่งขันสนามนี้ นั่นก็คือ Defy Extreme E ‘Desert X Prix’ Edition (ดีฟาย เอ็กซ์ตรีม อี ‘เดเสิร์ท เอ็กซ์ ปรีซ์’ เอดิชั่น)
Defy Extreme E ‘Desert X Prix’ Edition เผยโฉมในรูปลักษณ์ที่ได้แรงบันดาลใจในการดีไซน์มาจากภูมิประเทศอันทุรกันดารในทะเลทรายที่ใช้เป็นสนามแข่งแรก ผสานเข้ากับรูปแบบอันดุดันในสไตล์มอเตอร์สปอร์ต ตัวเรือนขนาด 45.0 มิลลิเมตร ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบาอย่างน่าทึ่ง แต่มีความทนทานสูง เม็ดมะยมแบบขันเกลียว ปุ่มกดโครโนกราฟ บ่าครอบปุ่มกด และกรอบวงแหวนสิบสองเหลี่ยม เป็นการผลิตขึ้นจากไทเทเนียมไมโครบลาสท์ และสามารถกันน้ำได้ถึง 200 เมตร
หน้าปัดได้นำการนำเสนอในรูปแบบ ‘Open-worked’ (โอเพนเวิร์กด์) ที่วางเลเยอร์แบบหลายชั้นเพื่อสร้างมิติให้น่าค้นหา เน้นตกแต่งด้วยโทนสีเหลือง-เบจ ซึ่งเป็นสีทางการของ ‘Desert X Prix’ อันชวนให้นึกถึงเนินทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาของซาอุดิอาระเบีย พร้อมการแสดงเวลาแบบ 2 เข็มครึ่ง ซึ่งแยกค่าวินาทีไปไว้ในหน้าปัดย่อยตำแหน่ง 9 นาฬิกา ควบคู่ไปกับฟังก์ชันจับเวลาผ่านเข็มวินาทีหลัก ซึ่งสามารถแสดงค่าได้ละเอียดถึง 1/100 วินาที ต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที ผ่านหน้าปัดย่อยตำแหน่ง 3 และ 6 นาฬิกา ที่ตกแต่งด้วยลวดลายและสีสันอันสะดุดตา พร้อมกันนี้ยังจัดแสดงเข็มระบุค่าพลังงานสำรองของฟังก์ชันจับเวลาบริเวณใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และเคลือบสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) เกรด ‘SLN C1’ บนหลักชั่วโมงและเข็มชี้
เบื้องหลังของแผ่นคริสตัลแซพไฟร์ย้อมสีเข้มที่นำมาเป็นพื้นหน้าปัด ‘Open-worked’ เผยให้เห็นบางส่วนของกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) ออโตเมติกโครโนกราฟ Cal.El Primero 9004 ซึ่งได้มาตรฐานความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ โดยแยกชุดจักรกลอกออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกทำงานด้วยความถี่ 36,000 ครั้ง/ชั่วโมง สำหรับการแสดงเวลาปกติ และอีกชุดหนึ่งทำงานที่ความถี่สูง 360,000 ครั้ง/ชั่วโมง สำหรับขับเคลื่อนฟังก์ชันโครโนกราฟที่แสดงค่าได้ละเอียดถึง 1/100 วินาที และยังสามารถสำรองพลังงานได้ยาวนาน 50 ชั่วโมง ฝาหลังกรุด้วยคริสตัลแซพไฟร์ เผยให้เห็นชุดจักรกลชั้นยอด ประทับด้วยข้อความพิเศษ และโลโก้ ‘Desert X Prix’
เพื่อแสดงถึงจุดยืนในการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะภูมิอากาศของโลก Defy Extreme E ‘Desert X Prix’ Edition จึงมาพร้อมกับสายผ้าเวลโครสีเหลืองที่เย็บติดกับยางที่ผลิตขึ้นจากเศษชิ้นส่วนของยางรถยนต์ ‘Continental’ (คอนติเนนตัล) พร้อมบัคเคิลที่ผลิตจากคาร์บอน นำเสนอให้เป็นเจ้าของกันแบบเอ็กซ์คลูซีพสุดๆ เพียง 20 เรือน ในราคาจำหน่ายที่ 26,900 ฟรังก์สวิส หรือคิดเป็นเงินไทยราว 950,000 บาท