by: ‘Mr.Big’
ประเดิมสนามใหม่ประจำปี 2023 ไปเรียบร้อย สำหรับ ‘Extrame E’ (เอ็กซ์ตรีม อี) การแข่งขันรถยนต์ออฟโรดที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจัดแข่งขันในพื้นที่ทุรกันดาร เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก รวมถึงให้การสนับสนุนทางภาคสังคมและสิ่งแวดล้อมในแต่ละสถานที่ที่จัดการแข่งขัน ซึ่งในซีซั่นที่ 3 นี้ได้เลือกสถานที่จัดการแข่งขันเป็นเหมืองถ่านหินเก่า ‘Glenmuckloch’ (เกล็นมัคลอช) ในพื้นที่ ‘Dumfries and Galloway’ (ดัมฟรีส์ แอนด์ กัลโลเวย์) ประเทศสกอตแลนด์ อันเป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งกำลังประสบปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน แต่พื้นที่อันรกร้างนี้กำลังได้รับการปรับปรุงให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ และฟาร์มกังหันลมสำหรับผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางสร้างพลังงานสะอาด โดยจัดการแข่งขันไปเมื่อวันที่ 13-14 พฤษภาคมที่ผ่านมา และแน่นอนว่า Zenith (เซนิธ) ในฐานะผู้สนับสนุนการแข่งขันรายการดังกล่าวมาโดยตลอด ก็ไม่พลาดที่จะแนะนำเรือนเวลารุ่นพิเศษเพื่อเป็นที่ระลึกในการแข่งขันสนามนี้ด้วย และนี่คือ Defy Extreme E ‘Hydro X Prix’ (ดีฟาย เอ็กซ์ตรีม อี ‘ไฮโดร เอ็กซ์ ปรีซ์’)
ภาพรวมของ Defy Extreme E ‘Hydro X Prix’ ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ด้านดีไซน์เหมือนกับรุ่นที่ผ่านๆ มา แต่มีความแตกต่างกันที่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยตัวเรือนในรุ่นนี้เป็นการผลิตขึ้นแบบ ‘Full Carbon’ (ฟูล คาร์บอน) หรือขึ้นรูปจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด ไม่ได้มีการแซมวัสดุอื่นๆ เหมือนที่ผ่านมา ส่วนขนาดยังเป็นตัวเลขเดิมที่ 45.0 มิลลิเมตร ไม่ได้มีการปรับลดขนาดเหมือนกับคอลเลกชั่นอื่นๆ แต่อย่างใด และยังคงรักษามาตรฐานในการกันน้ำเอาไว้ 200 เมตร พร้อมด้วยเม็ดมะยมชนิดขันเกลียว ในขณะที่หน้าปัดใช้แผ่นคริสตัลแซพไฟร์รมควันเป็นฐาน เพื่อให้สามารถมองเห็นชิ้นส่วนจักรกลที่อยู่ภายใน ตกแต่งด้วยสเกลเวลาสีขาว สลับกับลายเส้นสดใสสี ‘Vital Green’ (ไวทัล กรีน) อันเป็นหนึ่งในสีประจำของ ‘Extreme E’ เป็นการสะท้อนถึงสิ่งแวดล้อม และการตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในส่วนของการแสดงฟังก์ชันยังคงเป็นไปในรูปแบบของ Defy Extreme นั่นคือการจัดวางองค์ประกอบแบบหลายเลเยอร์ โดยขอบหน้าปัดชั้นนอกติดตั้งวงแหวนสีดำที่ตกแต่งด้วยสีขาวสลับ ‘Vital Green’ ของสเกล 0-100 เพื่อระบุค่าจับเวลาที่ทำได้ละเอียดถึง 1/100 วินาที ด้วยเข็มวินาทีสีขาวที่แต้มส่วนปลายเป็นสี ‘Vital Green’ ต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที สัมพันธ์กับการแสดงค่าบนหน้าปัดย่อยที่ 3 และ 6 นาฬิกา ในขณะที่การแสดงเวลาปกติจัดมาแบบ 2 เข็มครึ่ง แยกค่าวินาทีออกมาไว้บนหน้าปัดย่อยตำแหน่ง 9 นาฬิกา เสริมด้วยเข็มระบุค่าพลังงานสำรองของฟังก์ชันโครโนกราฟแบบ ‘Retrograde’ (เรโทรเกรด) บริเวณใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา เสริมความกระจ่างชัดด้วยการเคลือบสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) เกรด ‘SLN C1’ บนหลักชั่วโมงและเข็ม
ทั้งหมดที่เห็นนี้ ขับเคลื่อนด้วยกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) ออโตเมติกโครโนกราฟ Cal.El Primero 9004 ที่บอกเวลาอย่างเที่ยงตรงภายใต้มาตรฐานโครโนมิเตอร์ โดยแยกชุดจักรกลอกออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกทำงานด้วยความถี่ 36,000 ครั้ง/ชั่วโมง สำหรับการแสดงเวลาปกติ ส่วนอีกชุดหนึ่งทำงานที่ความถี่สูงถึง 360,000 ครั้ง/ชั่วโมง หรือ 50 เฮิรตซ์ จึงส่งผลให้ฟังก์ชันโครโนกราฟสามารถแสดงค่าได้ละเอียดถึง 1/100 วินาที และสามารถสำรองพลังงานได้ยาวนาน 50 ชั่วโมง พร้อมเปิดโอกาสให้ชมชุดจักรกลที่ได้รับการเคลือบเป็นสีเข้มและโรเตอร์ขึ้นลานที่ฉลุเป็นรูปดาวผ่านฝาหลังที่กรุด้วยคริสตัลแซพไฟร์ ซึ่งในรุ่นนี้ไม่ได้พิมพ์ประทับโลโก้มาบนกระจกเหมือนดังเช่นในรุ่นก่อนหน้า ทำให้สามารถชื่นชมชุดจักรกลชั้นเลิศได้อย่างเต็ม 2 ตา
แน่นอนว่าในส่วนของสายก็ต้องเน้นย้ำถึงคอนเซปต์รักษ์โลกเหมือนรุ่นที่ผ่านมา โดยสายหลักเป็นสายผ้าเวลโครสี ‘Vital Green’ ที่ผลิตขึ้นจากวัสดุที่อัพไซเคิลมาจากเศษชิ้นส่วนของยางรถยนต์ ‘Continental’ (คอนติเนนตัล) ที่ใช้แข่งขัน ตัวล็อกแบบหัวเข็มขัดผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมสายยางสำรองที่นำเสนอมาในสีดำและสีทราย สามารถถอดเปลี่ยนสายได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดายเพียงแค่กดปุ่มที่อยู่ด้านหลังตัวเรือน บรรจุในกล่องกันน้ำและกันกระแทกที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษจากวัสดุรีไซเคิลและอัพไซเคิลจากการแข่งขันในสนามที่ผ่านๆ มา ผลิตมาให้เป็นเจ้าของในจำนวนที่ขยับเพิ่มขึ้นจากรุ่นปีก่อนที่ผลิตแค่ 20 เรือน มาเป็น 100 เรือน กับราคาจำหน่ายที่ 30,100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตกเป็นเงินไทยอยู่ที่ราวๆ 1.1 ล้านบาท