by: ‘Mr.Big’
หลังจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Zenith (เซนิธ) ในฐานะแบรนด์พันธมิตรผู้ก่อตั้งและผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการของการแข่งขันแรลลี่รถออฟโรดพลังงานไฟฟ้าเวิลด์ทัวร์รายการ ‘Extreme E’ (เอ็กซ์ตรีม อี) ได้เผยโฉมรุ่นพิเศษ Defy Extreme E ‘Desert X Prix’ (ดีฟาย เอ็กซ์ตรีม อี ‘เดเสิร์ท เอ็กซ์ ปรีซ์’) ที่สร้างสรรค์มาเพื่อต้อนรับการแข่งขันสนามแรกที่ทะเลทรายเมือง Neom (นีโอม) ประเทศซาอุดิอาระเบียไปแล้ว และเดือนกรกฎาคมนี้ก็ถึงเวลาที่จะเปิดตัวเรือนเวลาพิเศษรุ่นใหม่ สำหรับต้อนรับการแข่งขัน ‘Extreme E’ สนามที่ 2 ที่จัดขึ้นที่เกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี และนั่นก็คือ Defy Extreme E ‘Island X Prix’ (ดีฟาย เอ็กซ์ตรีม อี ‘ไอส์แลนด์ เอ็กซ์ ปรีซ์’)
การแข่งขัน ‘Extreme E’ สนามที่ 2 จัดขึ้นบริเวณ ‘Capo Teulada’ (คาโป เตอลาดา) ในเขต ‘Sulcis-Iglesiente’ (ซัลซิส-อิเกลซิเอนเต) ซึ่งเป็นพื้นที่ทางการทหารที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะซาร์ดิเนีย ซึ่งผู้เข้าแข่งขันต้องเผชิญกับสภาพทุรกันดารและแห้งแล้ง เนื่องจากสภาพอากาศฤดูร้อนในเดือนกรกฎาคม บนผืนดินที่แตกระแหง เต็มไปด้วยฝุ่น หิน และพุ่มไม้ที่เป็นอุปสรรคมากมาย วัตถุประสงค์ในการแข่งขันครั้งนี้ยังคงเน้นไปที่การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดแทนพลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ เหมือนกับการแข่งขัน ‘Extreme E’ ที่เป็นการนำรถแข่งที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอันไม่ก่อให้เกิดมลพิษ รวมถึงช่วยเหลือและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูผลกระทบจากไฟป่าครั้งใหญ่ที่สร้างความเสียหายบนเกาะเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงสนับสนุนการอนุรักษ์ ‘Posidonia Oceanica’ (โพซิโดเนีย โอเซียนิกา) ซึ่งเป็นหญ้าทะเลชนิดหนึ่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ในฐานะพืชบ่งชี้ความสะอาดและบริสุทธิ์ของน้ำ เนื่องจากหญ้าทะเลชนิดนี้จะขึ้นได้เฉพาะเขตที่มีน้ำสะอาดมากๆ เท่านั้น
Defy Extreme E ‘Island X Prix’ Edition เผยโฉมในรูปลักษณ์ที่ได้แรงบันดาลใจจากภูมิประเทศอันทุรกันดาร เต็มไปด้วยดินที่แห้งแล้ง ฝุ่นและหินของเกาะซาร์ดิเนีย อันเป็นสนามแข่งที่ 2 ของรายการนี้ ผสานเข้ากับรูปลักษณ์สปอร์ตดุดันของตัวเรือนขนาด 45.0 มิลลิเมตร ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจากไทเทเนียม ขัดผิวด้วยเทคนิค ‘Microblasted’ (ไมโครบลาสเตด) สลับกับคาร์บอนที่มีลวดลายเฉพาะตัวบริเวณผิวชั้นหน้า กรอบฝาหลัง เม็ดมะยมขันเกลียว และปุ่มกด กระกระจกหน้าปัดชนิดคริสตัลแซพไฟร์เคลือบสารกันการสะท้อน และประสิทธิภาพในการกันน้ำที่ 200 เมตร
หน้าปัดสร้างสรรค์ในลักษณะ ‘Open-worked’ (โอเพนเวิร์กด์) ที่วางองค์ประกอบแบบหลายชั้นเพื่อสร้างมิติ ขอบหน้าปัดชั้นนอกติดตั้งวงสเกลสีขาวควบคู่ไปกับวงสเกลสีเงินที่อยู่ชั้นในถัดไป โดยรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้นสเกลหรือตัวเลขถูกนำเสนอในสีส้ม ซึ่งนิยามถึงดินที่แตกระแหงและฝุ่นของเกาะซาร์ดิเนีย แสดงเวลาแบบ 2 เข็มครึ่ง โดยแยกค่าวินาทีไปไว้ในหน้าปัดย่อยที่ 9 นาฬิกา ควบคู่ไปกับฟังก์ชันจับเวลาผ่านเข็มวินาทีหลัก ซึ่งสามารถแสดงค่าได้ละเอียดถึง 1/100 วินาที ต่อเนื่องสูงสุด 30 นาที ผ่านหน้าปัดย่อยตำแหน่ง 3 และ 6 นาฬิกา เสริมด้วยเข็มระบุค่าพลังงานสำรองของฟังก์ชันจับเวลาบริเวณใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และเคลือบสารเรืองแสง ‘Super-LumiNova’ (ซูเปอร์ลูมิโนวา) เกรด ‘SLN C1’ บนหลักชั่วโมงและเข็มชี้เคลือบโรเดียม
แน่นอนว่าด้วยคุณสมบัติในการจับเวลา 1/100 วินาที ผ่านเข็มวินาทีหลัก การทำงานของนาฬิกาเรือนนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) ออโตเมติกโครโนกราฟ Cal.El Primero 9004 ดีกรีมาตรฐานความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ โดยแยกชุดจักรกลอกออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกทำงานด้วยความถี่ 36,000 ครั้ง/ชั่วโมง สำหรับการแสดงเวลาปกติ และอีกชุดหนึ่งทำงานที่ความถี่สูง 360,000 ครั้ง/ชั่วโมง หรือ 50 เฮิรตซ์ ส่งผลให้ฟังก์ชันโครโนกราฟสามารถแสดงค่าได้ละเอียดถึง 1/100 วินาที ทั้งยังสามารถสำรองพลังงานได้ยาวนาน 50 ชั่วโมง ฝาหลังกรุด้วยคริสตัลแซพไฟร์ เผยให้เห็นชุดจักรกลที่ได้รับการเคลือบเป็นสีเข้มและโรเตอร์ขึ้นลานที่ฉลุเป็นรูปดาว หน้าแผ่นคริสตัลประทับด้วยโลโก้ ‘Island X Prix’ ของการแข่งขันในสนามที่ 2
สำหรับสายก็ได้รับการรังสรรค์เป็นพิเศษตามคอนเซปต์รักษ์โลก กับสายผ้าเวลโครสีส้มที่ผสานด้วยวัสดุที่รีไซเคิลมาจากเศษชิ้นส่วนของยางรถยนต์ ‘Continental’ (คอนติเนนตัล) ที่ใช้แข่งขันในสนามแรก ล็อกด้วยแถบตีนตุ๊กแกสีดำ และระบบถอดเปลี่ยนสายที่ง่ายดายเพียงแค่กดปุ่มที่อยู่ด้านหลังตัวเรือน พร้อมกล่องบรรจุกันน้ำและกันกระแทก เพื่อให้สมกับสภาพแวดล้อมอันหฤโหดของการแข่งขันแรลลี่ ผสานด้วยองค์ประกอบรีไซเคิลและอัพไซเคิลต่างๆ ที่ได้จากการแข่งขันในสนามแรก ผลิตมาให้เป็นเจ้าของกันในรูปแบบ ‘Boutique Edition’ (บูติก เอดิชั่น) ด้วยจำนวนแค่ 20 เรือน ในราคาซึ่งตั้งเอาไว้ที่ 26,900 ฟรังก์สวิส คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1 ล้านบาท